วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ แบร็ดลี่ย์ แบร็ด โจนส์

ประวัติของ แบร็ดลี่ย์ แบร็ด โจนส์











พนันบอลออนไลน์



ข้อมูลนักเตะ


ชื่อเต็ม แบร็ดลี่ย์ แบร็ด โจนส์


วันเกิด 19 มีนาคม ค.ศ. 1982  (อายุ 33 ปี)


เกิดที่ เมือง อาร์มาเดล ประเทศ ออสเตรเรีย


ทีมชาติ ออสเตรเรีย


ส่วนสูง 191 ซม.


น้ำหนัก 79 กก.


ตำแหน่ง ผู้รักษาประตู


ลงเล่น 10 นัด


ทำประตู 0 ประตู


เท้าที่ถนัด เท้าขวา


สโมสรปัจจุบัน ลิเวอร์พูล


ย้ายมาร่วมทีม 17 สิงหาคม ค.ศ. 2010


ลงนัดแรก 23 กันยายน ค.ศ. 2010


หมายเลขเสื้อ เบอร์ 10


พนันบอลออนไลน์





ประวัติการค้าแข้ง


แบร็ด โจนส์ เขาเป็นน่ยทวารมาจากประเทศ ออสเตรเรีย และเขาได้เติบโตในเมือง อาร์มาเดล ทางฝั่งทิศตะวันตก เขาได้เริ่มเล่นฟุตบอลด้วยการเข้าร่วมกับทีมเยาวชนของ เบย์สวอเตอร์ ซิตี้ เอสซี เมื่อฤดูกาลที่ 1999 - 2010 เขาได้ย้ายมาอยู่กับทีม มิดเดิ้ลสโบรช์ แบร็ด โจนส์ ได้เซ็นสัญญาเข้าร่วมกับทีมสโมสร มิดเดิ้ลสโบรช์ เพื่อลงเล่นในระดับเยาวชนของทีม ก่อนที่เขาได้เลื่อนขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1999 เขาได้ลงประเดิมให้กับทีมนัดแรกในเกม เอฟเอ คัพ รอบสาม ในนัดที่พบกับทีม น็อตต์ เคาส์ตี้ เมื่อปี ค.ศ. 2004 และต่อมาพวกเขาก็สามารถคว้าาถ้วย ลีก คัพ มาครองได้สำเร็จ แบร็ด โจนส์ เขาถูกปล่อยให้สโมสรอื่นๆยืมตัวไปเล่นเมื่อปี ค.ศ. 2001 - 2002 โจนส์ เขาได้ลงเล่นไป 4 นัด ให้กับทีมในไอร์แลนด์อย่างทีม เชลบอร์น เอฟซี โดยเขาได้เปิดตัวกับลีกไอร์แลนด์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม และได้พบกับทีมคู่ปรับตลอดกาลอย่าง โบฮีเมี่ยนส์ ยังสนาม ดาลี่เมาท์ ปาร์ค และเขาโดนถลุงไปถึง 4 เม็ด ในเกมที่พวกเขาเอาชนะไปได้ 6 - 4 และหนึ่งในนั้นเป็นการเตะเปิดจากประตูของเขาด้วย ในเวลาต่อมา โจนส์ ถูกยืมไปเล่นในกับสโมสรในดิวิชั่น 1 อย่างทีม สต็อคพอร์ท เคาส์ตี้ และ แบล็คพูล ก่อนที่เขาจะได้กลับมาอยู่กับต้นสโมสรอย่าง มิดเดิ้ลสโบรช์ อีกครั้งเมื่อฤดูกาลที่ 2005 - 2006 และเขาก็ได้ถูกดึงตัวมาช่วยทีม เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ในแบบยืมตัวระยะสั้น 3 เดือน และเขาสามารถช่วยป้องกันลูกจุดโทษได้ 2 เกมติดกัน ซึ่งเป็นเกมที่พบกับ พลีมัธ อาร์ไกล์ และ ลีดส์ ยูไนเต็ด




พนันบอลออนไลน์



จากการที่ มาร์ค ชวาร์เซอร์ เขาได้โบกมืออำลาจากทีม มิดเดิ้ลสโบรช์ เพื่อที่จะย้ายไปอยู่กับสโมสร ฟูแล่ม และนั่นมันก็ทำให้เขาได้กลายเป็นผู้รักษาประตูมือหนึ่งแทน และตอนนั้นเขาอยู่ในช่วงที่ทีมตกชั้นเมื่อฤดูกาลที่ 2009 - 2010 อีกด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2010 แบร็ด โจนส์ ได้ย้ายเขามาร่วมทีมกับสโมสร ลิเวอร์พูล ยังถิ่น แอนฟิลด์ ด้วยค่าตัว 2.3 ล้านปอนด์ (ราวๆ 118 ล้านบาท) และเขาได้ลงทะเบียนแข้งนักเตะในฐานะแข้ง "โฮม - โกรน" ตามกฏใหม่ที่ทาง พรีเมียร์ ลีก ได้ตั้งขึ้นมา เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 2010 เขามีโอกาศได้นั่งดูเพื่อนๆเตะในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในรอบเพลย์ออฟ เลคแรกที่สนาม แอนฟิลด์ โจนส์ เขาได้โอกาศลงสัมผัสเกมครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการ ในเกมการแข่งขัน เทสติโมเนียล ของ เจมี่ คาร์ราเกอร์ พบกับทีม เอฟเวอร์ตัน XI และภายหลังต่อมาเขาก็ได้ลงประเดิมสนามอย่างเป็นทางการในเกม ลีก คัพ รอบบสาม ที่เจอกับ นอร์ทแฮมป์ตัน ทาวน์ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2010 และจบการแข่งขันด้วยผลเสมอ 2 - 2 และเป็นทีมหงษ์แดงที่แพ้ไปในการดวลจุดโทษ และเกมที่สองของเขาก็เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2010 ในเกมการแข่งขัน ยูโรป้า ลีก ในนัดที่เจอกับ อูเทร็ชต์ และนี่เป็นเกมแรกของเขาที่สามารถรักษาคลีนชีตเอาไว้ได้อีกด้วย




พนันบอลออนไลน์





โจนส์ ผู้รักษาประตูชาวออสซี่เขาได้เติบโตในเมือง อาร์มาเดล ทางฝั่งทิศตะวันตก เขาได้เริ่มเล่นฟุตบอลด้วยการเข้าร่วมกับทีมเยาวชนของ เบย์สวอเตอร์ ซิตี้ เอสซี เมื่อฤดูกาลที่ 1999 - 2010 เขาได้ย้ายมาอยู่กับทีม มิดเดิ้ลสโบรช์ แบร็ด โจนส์ ได้เซ็นสัญญาเข้าร่วมกับทีมสโมสร มิดเดิ้ลสโบรช์ เพื่อลงเล่นในระดับเยาวชนของทีม ก่อนที่เขาได้เลื่อนขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1999 เขาได้ลงประเดิมให้กับทีมนัดแรกในเกม เอฟเอ คัพ รอบสาม ในนัดที่พบกับทีม น็อตต์ เคาส์ตี้ เมื่อปี ค.ศ. 2004 และต่อมาพวกเขาก็สามารถคว้าาถ้วย ลีก คัพ มาครองได้สำเร็จ แบร็ด โจนส์ เขาถูกปล่อยให้สโมสรอื่นๆยืมตัวไปเล่นเมื่อปี ค.ศ. 2001 - 2002 โจนส์ เขาได้ลงเล่นไป 4 นัด ให้กับทีมในไอร์แลนด์อย่างทีม เชลบอร์น เอฟซี โดยเขาได้เปิดตัวกับลีกไอร์แลนด์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม และได้พบกับทีมคู่ปรับตลอดกาลอย่าง โบฮีเมี่ยนส์ ยังสนาม ดาลี่เมาท์ ปาร์ค และเขาโดนถลุงไปถึง 4 เม็ด ในเกมที่พวกเขาเอาชนะไปได้ 6 - 4 และหนึ่งในนั้นเป็นการเตะเปิดจากประตูของเขาด้วย ในเวลาต่อมา โจนส์ ถูกยืมไปเล่นในกับสโมสรในดิวิชั่น 1 อย่างทีม สต็อคพอร์ท เคาส์ตี้ และ แบล็คพูล ก่อนที่เขาจะได้กลับมาอยู่กับต้นสโมสรอย่าง มิดเดิ้ลสโบรช์ อีกครั้งเมื่อฤดูกาลที่ 2005 - 2006 และเขาก็ได้ถูกดึงตัวมาช่วยทีม เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ในแบบยืมตัวระยะสั้น 3 เดือน และเขาสามารถช่วยป้องกันลูกจุดโทษได้ 2 เกมติดกัน ซึ่งเป็นเกมที่พบกับ พลีมัธ อาร์ไกล์ และ ลีดส์ ยูไนเต็ด และนั่นก็ทำให้หลายๆทีมใน พรีเมีร์ ลีก จับตามองในตัวเขาเพื่อที่จะคว้ามาร่วมทีม







พนันบอลออนไลน์





ในด้านทีมชาติ เขาถูกเรียกตัวให้ติดทีมชาติชุดใหญ่เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 มิดเดิ้ลสโบรช์ เพื่อที่จะย้ายไปอยู่กับสโมสร ฟูแล่ม และนั่นมันก็ทำให้เขาได้กลายเป็นผู้รักษาประตูมือหนึ่งแทน และตอนนั้นเขาอยู่ในช่วงที่ทีมตกชั้นเมื่อฤดูกาลที่ 2009 - 2010 อีกด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2010 แบร็ด โจนส์ ได้ย้ายเขามาร่วมทีมกับสโมสร ลิเวอร์พูล ยังถิ่น แอนฟิลด์ ด้วยค่าตัว 2.3 ล้านปอนด์ (ราวๆ 110 ล้านบาท) พนันบอลออนไลน์ และเขาได้ลงทะเบียนแข้งนักเตะในฐานะแข้ง "โฮม - โกรน" ตามกฏใหม่ที่ทาง พรีเมียร์ ลีก ได้ตั้งขึ้นมา เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 2010 เขามีโอกาศได้นั่งดูเพื่อนๆเตะในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในรอบเพลย์ออฟ เลคแรกที่สนาม แอนฟิลด์ โจนส์ เขาได้โอกาศลงสัมผัสเกมครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการ ในเกมการแข่งขัน เทสติโมเนียล ของ เจมี่ คาร์ราเกอร์ พบกับทีม เอฟเวอร์ตัน XI และภายหลังต่อมาเขาก็ได้ลงประเดิมสนามอย่างเป็นทางการในเกม ลีก คัพ รอบบสาม ที่เจอกับ นอร์ทแฮมป์ตัน ทาวน์ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2010 และจบการแข่งขันด้วยผลเสมอ 2 - 2 และเป็นทีมหงษ์แดงที่แพ้ไปในการดวลจุดโทษ และเกมที่สองของเขาก็เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2010 ในเกมการแข่งขัน ยูโรป้า ลีก ในนัดที่เจอกับ อูเทร็ชต์ และนี่เป็นเกมแรกของเขาที่สามารถรักษาคลีนชีตเอาไว้ได้อีกด้วย เมื่อเขาทราบว่าลูกชายของเขาป่วยเป็น ลูคิเมีย และนั่นก็ทำให้เขาไม่ได้กลับไปร่วมการแข่งขันอีกเลย



















พนันบอลออนไลน์

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ วิคตอร์ บัลเดส

ประวัติของ วิคตอร์ บัลเดส









พนันบอลออนไลน์


ข้อมูลส่วนตัว


ชื่อจริง วิคตอร์ บัลเดส


เกิดวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1982 (อายุ 33 ปี)


เกิดที่ เมือง ลุสปีตาเลส เดรยูเบกัส ประเทศ สเปน


ทีมชาติ สเปน


ส่วนสูง 183 ซม.


น้ำหนัก 75 กก.


เท้าที่ถนัด เท้าขวา


ตำแหน่ง ผู้รักษาประตู


สโมสรปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


ย้ายร่วมทีม 9 มกราคม ค.ศ. 2015


หมายเลขเสื้อ เบอร๋ 32





ประวัติการค้าแข้ง


ในการซื้อตัว วิคตอร์ บัลเดส นั้น ถือว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เซ็นสัญญากับผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในยุโรปเข้าร่วมทีม เพราะเขาคือส่วนหนึ่งของทีม บาร์เซโลน่า ในช่วงที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุด วัลเดส เขาได้เกิดที่ บาร์เซโลน่า และลงเล่นไปทั้งหมด 535 เกม ตลอดช่วงระยะเวลา 12 ปี ในถิ่น คัมป์นู และเขาได้ชูถ้วยรายการใหญ่ไปทั้งหมด 21 รายการโดยหนึ่งในนั้นไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่า การที่เขาได้พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเซฟลูกยิงของ พอล สโคลส์ เอาไว้ได้ ในรอบรองของรายการนี้เมื่อปี ค.ศ. 2008 แต่วัลเดสก็สามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ในรอบชิงชนะเลิศของทั้งปี 2009 และปี 2011 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013 วัลเดส ได้ประกาศว่าจะย้ายออกจากสโมสร บาร์เซโลน่า ในช่วงปิดซีซั่นถัดไป เขาบอกว่าเขาต้องการ "แรงกระตุ้นใหม่" ในการเล่นอาชีพฟุตบอล แต่แล้วแผนการที่เขาวางเอาไว้ก็ต้องหยุดชะงักไป เนื่องจากเขาได้รับอาการบาดเจ็บอย่างหนักที่หัวเข่าด้านขวา ในเกมลีกที่เอาชนะ เชลต้า วีโก้ 3 - 0 เมื่อเดือนมีนาคม 2014 ซึ่งนั่นก็ทำให้เขากลายเป็นนักเตะไร้สังกัดไปในเดือนต่อมา




พนันบอลออนไลน์




ก่อนที่จะออกมาจากถิ่น คัมป์นู วัลเดสได้กล่าวคำสุดประทับใน ให้เพื่อนๆร่วมทีมเก่าของเขารวมถึงกุนซือชาวดัตซ์ที่เป็นเจ้านายเก่าของเขาในทีม บาร์เซโลน่า เมื่อฤดูกาลที่ 2002 - 2003 ด้วยคำว่า "ขอบคุณ หลุยส์ ฟาน กัล ที่กล้าเสี่ยงในสิ่งทีมองไม่เห็น เขาเป็นผู้เริ่มต้นก่อสร้างทีมบาร์ซ่าชุดนี้ขึ้นมา และผมก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ผมขอขอบคุณจากใจ" วิคตอร์ วัลเดส เริ่มฤดูกาลนี้โดยไร้สังกัด ถึงจะมีข่าวตีออกมาว่าเขาได้รับความสนใจจากทีม โมนาโก และ ลิเวอร์พูลก็ตาม ในการฟื้นฟูสภาพร่างกายจากอาการบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด เขาก็ได้เริ่มเข้ามาฝึกซ้อมกับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่เดือนตุลาคม ตามคำชักชวนของ หลุยส์ ฟาน กัล ซึ่งเขาก็สามารถทำผลงานได้ดีสมควรที่จะด้รับการเซ็นสัญญาในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งเขาจะได้กลับมาร่วมงานกับอดีตโค้ชผู้รักษาประตูของเขาเองอย่าง ฟร้านส์ โฮ้ก อีกด้วย บัลเดส เขาถือว่าเป็นผู้เล่นทีมชาติเดียวกันกับผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง ดาวิด เด เคอา ด้วย




พนันบอลออนไลน์





สำหรับการดีลของ วิคตอร์ บัลเดส นั้น ถือว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เซ็นสัญญากับผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในยุโรปเข้าร่วมทีม เพราะเขาคือส่วนหนึ่งของทีม บาร์เซโลน่า ในช่วงที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุด วัลเดส เขาได้เกิดที่ บาร์เซโลน่า และลงเล่นไปทั้งหมด 535 เกม ตลอดช่วงระยะเวลา 12 ปี ในถิ่น คัมป์นู และเขาได้ชูถ้วยรายการใหญ่ไปทั้งหมด 21 รายการโดยหนึ่งในนั้นไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่า การที่เขาได้พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเซฟลูกยิงของ พอล สโคลส์ เอาไว้ได้ ในรอบรองของรายการนี้เมื่อปี ค.ศ. 2008 แต่วัลเดสก็สามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ในรอบชิงชนะเลิศของทั้งปี 2009 และปี 2011 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013 วัลเดส ได้ประกาศว่าจะย้ายออกจากสโมสร บาร์เซโลน่า ในช่วงปิดซีซั่นถัดไป เขาบอกว่าเขาต้องการ "แรงกระตุ้นใหม่" ในการเล่นอาชีพฟุตบอล แต่แล้วแผนการที่เขาวางเอาไว้ก็ต้องหยุดชะงักไป เนื่องจากเขาได้รับอาการบาดเจ็บอย่างหนักที่หัวเข่าด้านขวา ในเกมลีกที่เอาชนะ เชลต้า วีโก้ 3 - 0 เมื่อเดือนมีนาคม 2014 ซึ่งนั่นก็ทำให้เขากลายเป็นนักเตะไร้สังกัดไปในเดือนต่อมา




พนันบอลออนไลน์




เมื่อฤดูกาลที่ 2002 -2003 ก่อนที่จะออกมาจากถิ่นสโมสร บาร์เซโลน่า วัลเดสได้กล่าวคำสุดประทับใน ให้เพื่อนๆร่วมทีมเก่าของเขารวมถึงกุนซือชาวดัตซ์ที่เป็นเจ้านายเก่าของเขาในทีม บาร์เซโลน่า เมื่อฤดูกาลที่ 2002 - 2003 ด้วยคำว่า "ขอบคุณ หลุยส์ ฟาน กัล ที่กล้าเสี่ยงในสิ่งทีมองไม่เห็น เขาเป็นผู้เริ่มต้นก่อสร้างทีมบาร์ซ่าชุดนี้ขึ้นมา และผมก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ผมขอขอบคุณจากใจ" วิคตอร์ วัลเดส เริ่มฤดูกาลนี้โดยไร้สังกัด ถึงจะมีข่าวตีออกมาว่าเขาได้รับความสนใจจากทีม โมนาโก และ ลิเวอร์พูลก็ตาม ในการฟื้นฟูสภาพร่างกายจากอาการบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด เขาก็ได้เริ่มเข้ามาฝึกซ้อมกับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่เดือนตุลาคม ตามคำชักชวนของ หลุยส์ ฟาน กัล ซึ่งเขาก็สามารถทำผลงานได้ดีสมควรที่จะด้รับการเซ็นสัญญาในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งเขาจะได้กลับมาร่วมงานกับอดีตโค้ชผู้รักษาประตูของเขาเองอย่าง ฟร้านส์ โฮ้ก อีกด้วย บัลเดส เขาถือว่าเป็นผู้เล่นทีมชาติเดียวกันกับผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง ดาวิด เด เคอา รวมไปถึงผู้เล่นในตำแหน่งอื่นๆ อย่าง ฮวน มาต้า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติสเปน ในชุดคว้าแชมป์โลก 2010




พนันบอลออนไลน์



การมาของ วิคตอร์ บัลเดส ถือว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เซ็นสัญญากับผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในยุโรปเข้าร่วมทีม เพราะเขาคือส่วนหนึ่งของทีม บาร์เซโลน่า ในช่วงที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุด วัลเดส เขาได้เกิดที่ บาร์เซโลน่า และลงเล่นไปทั้งหมด 535 เกม ตลอดช่วงระยะเวลา 12 ปี ในถิ่น คัมป์นู และเขาได้ชูถ้วยรายการใหญ่ไปทั้งหมด 21 รายการโดยหนึ่งในนั้นไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่า การที่เขาได้พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเซฟลูกยิงของ พอล สโคลส์ เอาไว้ได้ ในรอบรองของรายการนี้เมื่อปี ค.ศ. 2008 แต่วัลเดสก็สามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ในรอบชิงชนะเลิศของทั้งปี 2009 และปี 2011 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013 วัลเดส ได้ประกาศว่าจะย้ายออกจากสโมสร บาร์เซโลน่า ในช่วงปิดซีซั่นถัดไป เขาบอกว่าเขาต้องการ "แรงกระตุ้นใหม่" ในการเล่นอาชีพฟุตบอล แต่แล้วแผนการที่เขาวางเอาไว้ก็ต้องหยุดชะงักไป เนื่องจากเขาได้รับอาการบาดเจ็บอย่างหนักที่หัวเข่าด้านขวา ในเกมลีกที่เอาชนะ เชลต้า วีโก้ 3 - 0 เมื่อเดือนมีนาคม 2014 ซึ่งนั่นก็ทำให้เขากลายเป็นนักเตะไร้สังกัดไปในเดือนต่อมา






พนันบอลออนไลน์





เมื่อเขาจะอำลาถิ่น คัมป์นู วัลเดสได้กล่าวคำสุดประทับใน ให้เพื่อนๆร่วมทีมเก่าของเขารวมถึงกุนซือชาวดัตซ์ที่เป็นเจ้านายเก่าของเขาในทีม บาร์เซโลน่า เมื่อฤดูกาลที่ 2002 - 2003 ด้วยคำว่า "ขอบคุณ หลุยส์ ฟาน กัล ที่กล้าเสี่ยงในสิ่งทีมองไม่เห็น เขาเป็นผู้เริ่มต้นก่อสร้างทีมบาร์ซ่าชุดนี้ขึ้นมา และผมก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ผมขอขอบคุณจากใจ" วิคตอร์ วัลเดส เริ่มฤดูกาลนี้โดยไร้สังกัด ถึงจะมีข่าวตีออกมาว่าเขาได้รับความสนใจจากทีม โมนาโก และ ลิเวอร์พูลก็ตาม ในการฟื้นฟูสภาพร่างกายจากอาการบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด เขาก็ได้เริ่มเข้ามาฝึกซ้อมกับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่เดือนตุลาคม ตามคำชักชวนของ หลุยส์ ฟาน กัล ซึ่งเขาก็สามารถทำผลงานได้ดีสมควรที่จะด้รับการเซ็นสัญญาในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งเขาจะได้กลับมาร่วมงานกับอดีตโค้ชผู้รักษาประตูของเขาเองอย่าง ฟร้านส์ โฮ้ก อีกด้วย บัลเดส เขาถือว่าเป็นผู้เล่นทีมชาติเดียวกันกับผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง ดาวิด เด เคอา และ ฮวนมา ต้า ด้วย พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในทีมชาติสเปนชุดคว้าแชมปฺฟุตบอลโลก 2010 และฟุตบอลยูโร 2012 ซึ่งในตอนนั้นเขาเป็นมือสองให้กับ อีเกร์ กาซีญาส














พนันบอลออนไลน์

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่

ประวัติของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่









พนันบอลออนไลน์ 





ข้อมูลนักเตะ


ชื่อจริง โรบิน ฟานเพอร์ ซี่


วันเกิด 6 สิงหาคม ค.ศ. 1983 (อายุ 31 ปี)


เกิดที่ เมือง ร็อตเตอร์ดัม ประเทศ เนเธอร์แลนด์


ทีมชาติ เนเธอร์แลนด์


ส่วนสูง 186 ซม.


ตำแหน่ง กองหน้า และ ปีกซ้าย


เท้าที่ถนัด เท้าซ้าย


สโมสรปัจจุบัน เฟเนร์บาห์เช


หมายเลขเสื้อ เบอร์ 11




โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ เขาได้เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1983 เพอร์ซี่ เป็นนักฟุตบอลชาวดัตซ์และเขาเล่นในตำแหน่งกองหน้าให้กับ สโมสร เฟเนร์บาห์เช่ ในศึกการแข่งขันฟุตบอลลีกสูงสุดของ ตุรกี นั่นก็คือ ซุปเปอร์ ลีก นอกจากตำแหน่งกองหน้าแล้ว เขายังสามารถโยกไปเล่นเป็น มิดฟิลด์ทางฝั่งซ้ายได้อีกด้วย


ฟาน เพอร์ซี่ เป็นลูกของศิลปินคู่หนึ่ง เขาจึงถูกเลี้ยงดูมาแบบให้เป็นศิลปินตามรอยของพ่อและแม่มาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่า ฟาน เพอร์ซี่ เลือกที่จะเล่นฟุตบอล และเขาก็ได้เริ่มเข้าสู่วงการลูกหนังกับทีม เอส บี วี เอ็กเซลซิเออร์ สโมสรเล็กๆในฮอลแลนด์ เขาเข้าไปเป็นนักเตะของสโมสรเมื่อปี ค.ศ. 2001 จากนั้นเขาก็ได้ย้ายไปเล่นให้กับทีม เฟเยนูร์ด ทีมในในถิ่นบ้านเกิดของเขา ในปี ค.ศ. 2002 และนั่นทำให้เขาได้สัมผสถ้วยแชมป์ ยููฟ่า คัพ ในปี 2002 อีกด้วย ฟาน เพอร์ซี่ เริ่มมีชื่อเสียงเนื่องจากเขาเป็นนักเตะที่อายุยังน้อย แต่มากไปด้วยพรสวรรค์ แต่เขากลับมีปัญหาเรื่องระเบียบวินัยกับสโมสร เฟเยนูร์ด จนกระทั่ง แบร์ต ฟาน มาไวน์ ผู้จัดการทีมในตอนนั้นเริ่มทนไม่ไหวกับการทำตัวของเขา จนบีบให้เขาต้องย้ายสโมสร และในที่สุด โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ก็ได้ย้ายมาร่วมทัพกับทีม อาร์เซนอล ซึ่งช่วงนั้นมี อาร์แซน แวงเกอร์ เป็นกุนซืออยู่และได้เล็งเห็นถึงพลังแฝงของเขาอยู่




พนันบอลออนไลน์ 



โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ได้เซ็นสัญญษกับสโมสร อาร์เซนอล เมื่อวันปี ค.ศ. 2004 ด้วยค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์ และหลังจากนั้น ฟาน เพอร์ซี่ ก็สามารถช่วยให้ทีม อาร์เซนอล คว้าถ้วยคอมมิวนิตี้ชีลด์ และ เอฟเอ คัพ มาครองได้สำเร็จตั้งแต่ซีซั่นแรกที่เขามาค้าแข้งในลอนดอน ต่อมาเขาก็ได้รับรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมประจำปีของเมือง ร็อตเตอร์ดัม ของปี ค.ศ. 2006 อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 4 ปีนั้น เขาก็ไ่ค่อยมีโกาศลงสนามมากเท่าที่ควร เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน แต่ในแมตช์ไหนที่เขาฟิตที่พร้อมจะลงสนาม เขาก็มักจะได้รับโอกาศลงเป็นตัวจริงอยู่เสมอ ฟาน เพอร์ซี่ เขาเป็นที่ขึ้นชื่อว่ามีเท้าว้ายที่หนักหน่วง ในนามทีมชาติฮอลแลนด์ เขาได้ลงเล่นในทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2005 และได้เข้าร่วมฟุตบอลโลก 2006 และ 2008 และได้รองแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 รวมไปถึงอันดับที่ 3 ของฟุตบอลโลก 2014 ในฐานะกัปตันทีมอีกด้วย




พนันบอลออนไลน์ 





ชีวิตในวัยเด็ก



โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ เขาได้เติบโตในย่านกราลิงเงินแห่งเมืองร็อตเตอร์ดัมตะวันตก แม่ของเขาชื่อว่า โคเซรัส มีอาชีพเป็นจิตกร ส่วนพ่อของเขาชื่อว่า บ็อบ เป็นประติมากร เพอร์ซี่ เขามีน้องสาวอีก 2 คน คือ ลีลี และ กีกี พ่อกับแม่เขาได้สนับสนุนให้เขาเดินตามรอยเป็นศิลปิน แต่เขากลับเลือกที่จะเล่นฟุตบอล



เส้นทางอาชีพ


สโมสร เฟเยนูร์ด


โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ได้เซ็นสัญญากับสโมสร เฟเยนูร์ด เป็นระยะเวลา 3 ปีครึ่ง ตั้งแต่ต้นฤดูกาลใหม่เขาสามารถยิงไปได้ 5 ประตู ในนัดที่เอาชนะ AGOVV 6 - 1 ในอัมสเทล คัพ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 แต่ด้วยความที่เขาไม่ค่อยลงรอยกันกับผู้จัดการทีม ทำให้ ฟาน เพอร์ซี่ ต้องล่วงลงไปเล่นในทีมชุดสำรอง จน ฟาน มาไวก์ ได้ออกมาพูดกับสื่อว่า "ด้วยพฤติกรรมของเขา ทำให้เขาไม่สามารถจะอยู่กับทีมได้อีกแล้ว ฉะนั้นเขาต้องเล่นในทีมสำรองไปตลอด" และในเกมที่ชุดสำรองของ เฟเยนูร์ด พบกับทีม อาแจ็กซ์ชุดสำรอง เขาเป็นหนึ่งในหลายคนของนักเตะ ที่โดนแฟนบอล อันธพาลของ เฟเยนูร์ด วิ่งลงมาในสนามเพื่อจะทำร้าย แต่ความบาดหมางของ ฟาน เพอร์ซี่ กับ ฟาน มาไวก์ ยังคงมีอยู่ต่อไป เนื่องจาก มาไวก์ สั่งให้เขากลับบ้านก่อนเกมที่จะพบกับ เรอัล มาดริด ในการแข่งขัน ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ เมื่อปี ค.ศ. 2003 โดยมีรายงานมาว่ากุนซือคนนี้ไม่ชอบ พฤติกกรมของเขา และหลังจากนั้นเขาก็สามารถแซกตัวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้เป็นครั้งแรก เขาลงสนามไปทั้งหมด 28 นัด ยิงไป 8 ประตู และพาทีมได้รองแชมป์บอลถ้วยของลีกเนเธอร์แลนด์อีกด้วย




พนันบอลออนไลน์ 




สโมสร อาร์เซนอล 


ฤดูกาลที่ 2004 - 2005 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 เพอร์ซี่ ได้เซ็นสัญญาฉบับเรียกกับอาร์เซนอล เป็นระยะเวลา 4 ปี อาร์แซน แวงเกอร์ ได้โยกเขาจากการเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายให้ไปเล่นในตำแหน่งกองหน้า และ ฟาน เพอร์ซี่ เขาก็ได้ยืนคู่กับ เธียร์รี่ อองรี ซึ่งทั้งสองคนเล่นเข้าขากันได้เป็นอย่างดี แวงเกอร์ได้อธิบายในการตัดสินใจครั้งนี้ว่า "เขาสามารถเล่นได้หลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นปีกซ้าย กองหน้าตัวต่ำ และกองหน้าตัวเป้า เนื่องจากเขาเป็นนักเตะที่มีความคิดสร้างสรรค์" อย่างไรก็ตาม โอกาศที่เขาจะได้ลงเล่นในตำแหน่งกองหน้าของเขาก็เริ่มลดน้อยลง เมื่ออาร์เซนอลได้เซ็นสัญญากับ อันโตนิโอ เรเส กองหน้าชาวสแปนิชมาร่วมทีมเมื่อเดือน มกราคม และเขาก็ต้องแย่งตำแหน่งกับ เรเยส ตลอดเวลา ฟาน เพอร์ซี่ ได้ลงสนามอย่างเป็นทางการครั้งแรก ด้วยการถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองในศึก คอมมิวนิตี้ชีลด์ ในนัดที่ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 1 และคว้าแชมป์นี้ไปครองได้ในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2004 และหลังจากนั้นเขาก็ได้นั่งเป็นตัวสำรองตลอด ในฤดูกาล 2004 - 2005 และในวันที่ 27 ตุลาคมในปีเดียวกัน เขาก็สามารถยิงประตูแรกในสีเสื้ออาร์เซน่อล โดยการยิงเบิกร่องให้ทีมเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และสามารถเอาชนะไปได้ 2 - 1


พนันบอลออนไลน์ 


 ฤดูกาลที่ 2005 -2006 เมื่อเริ่มต้นซีซั่น รูปแบบการเล่นของ ฟาน เพอร์ซี่ก็เริ่มดีขึ้น ทำให้เขาได้รับบรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005 จากการที่เขายิงไป 8 ลูก จากการลงเล่น 8 เกม และเขาก็ได้ตอบแทนสโมสรด้วยการเซ็นสัญญา 5 ปี ยาวไปจนถึงวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2011


ฤดูการที่ 2006 - 2007 ฟาน เพอร์ซี่ โชว์ฟอร์มได้ดีในฤดูกาลนี้ ด้วยการที่เขายิงแบบจักรยานอากาศในนัดที่เจอกับ ชาร์ลตัน แอตแลนติก โดยแวงเกอร์ให้ชื่อลูกนี้ว่า "ประตูแห่งชีวิต" ภายหลังต่อมา บีบีซีสปอร์ต ได้บันทึกไว้เป็นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายน และต่อมาเขาก็ได้รับรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมแห่งปีแห่งเมือง ร็อตเตอร์ดัม




พนันบอลออนไลน์ 



สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


ฤดูกาลที่ 2012 - 2013 โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ได้เป็นดาวซัลโวสูงสุดของ พรีเมียร์ ลีก ในฤดูกาลที่ผ่านมาจึงได้ย้ายมาแมนฯยู และได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก

ฤดูกาลที่ 2014 - 2015 เขามีอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดเวลาในซีซั่นนี้ ด้วยอายุที่มากขึ้นทำให้ประสิทธิภาพของเขาลดลง และเมื่อจบซีซั่นจึงได้ย้ายไป เฟเนร์บาห์เช่ เช่นเดียวกับ นานี เพื่อนร่วมสโมสรที่ได้ย้ายไปก่อนหน้านั้น



สโมสร เฟเนร์บาห์เช่ 


โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ได้ย้ายมาร่วมทีมเฟเนร์บาห์เช่ด้วยค่าตัว 4.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 235 ล้านบาท) และสัญญาเป็นระยะเวลา 3 ปี














พนันบอลออนไลน์ 

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ แอชลี่ย์ ยัง

ประวัติของ แอชลี่ย์ ยัง 







พนันบอลออนไลน์


ข้อมูลผู้เล่น


ชื่อเต็ม แอชลีย์ ไซมอน ยัง


เกิดวันที่ 9 กรกฏาคม ค.ศ. 1985 (อายุ 30 ปี)


เกิดที่ เมือง สตีฟเนจ ประเทศ อังกฤษ


ทีมชาติ อังกฤษ


ส่วนสูง 176 เซนติเมตร


ตำแหน่ง ปีกขวา และ กองหน้าตัวต่ำ


สโมสรปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


หมายเลขเสื้อ เบอร์ 18


ประวัติการเป็นนักฟุตบอล 


แอชลีย์ ไซมอน ยัง เขาเกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฏาคม ค.ศ. 1985 ดาวเตะคนนี้รับใช้กให้กับทีมชาติอังกฤษ และสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งปีก และ กองกลางตัวรุก  เขามีน้องชายชื่อว่า หลุยส์ ยัง ซึ่งเล่นให้กับ เบอร์ตัน อัลเบี้ยน เขาได้เติบโตในเมือง ฮาร์ทฟอร์ดเซอร์ และเขาได้เริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสร วัตฟอร์ด ลงเล่นในทีมชุดใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 2003 ภายใต้การคุมทีมของ เรย์ เลอวิงตัน และเขาได้ติดทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2004 - 2005 เขาได้เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลใน พรีเมียร์ ลีก และในเดือน มกราคม ค.ศ. 2007 ทีมสโมสร แอสตัน วิลล่า ได้ดึงตัวเขามาร่วมทีม ด้วยค่าตัว 8 ล้านปอนด์ และได้เพิ่มเป็น 9.75 ล้านปอนด์ และหลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าอยู่ในทีมชุดใหญ่ ณ สนาม วิลล่า พาร์ค เขาเคยลงเล่นให้กับทีมชาติทั้งหมด 17 นัด และยิงไปได้ 3 ประตู



พนันบอลออนไลน์



แอชลี่ย์ ยัง เขาได้เริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอลกับอคาเดมี่ของ วัตฟอร์ด แต่เขาก็ได้เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลด้วยความลำบากเล็กน้อย หลังจากที่เขาต้องถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมทีม และพร้อมจะปล่อยตัวเขาให้ทีมอื่น แต่เขาก็ได้ฝึกฝน และได้พิสูจน์ตัวเองจนทำให้ทางต้นสังกัดเปลี่ยนใจรับเขาเข้าร่วมทีม "แตนอาละวาด" จนกระทั่งเขาได้มีชื่อติดทีมชุดใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 2003 ด้วยวัยเพียง 18 ปี และเขาสามารถทำประตูได้ในการลงเป็นตัวสำรอง ในเกมที่พบกับ มิลล์วอลล์ จากนนั้นในฤดูกาลที่ 2004 - 2005 เขาก็ได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่อย่างสม่ำเสมอ ได้ลงเล่นในลีกไป 34 นัด และในซีซั่นนี้เขายังได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสโมสรอีกด้วย และจากนั้นในฤดูกาลที่ 2005 - 2006 แอชลีย์ ยัง ก็ได้โอกาศลงสนามอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนร่วมกับทีมในการเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในเกมเพลย์ออฟไป 3 - 0 และนั่นส่งผลให้วัตฟอร์ดได้ขึ้นไปเล่นใน พรีเมียร์ ลีก



พนันบอลออนไลน์



ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่น และความคมในการทำประตูให้ทีมอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เขาได้รับความสนในจากหลายทีมในลีก และในที่สุดเขาก็ได้ย้ายไปร่วมทัพกับทีม แอสตัน วิลล่า ในเดือน มกราคม ค.ศ. 2007 ด้วยค่าตัว 8 ล้านปอนด์ และจากฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขากับวิลล่า ทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะอายุน้อยยอดเยี่ยมแห่งปี จากสมาคมฟุตบอลออังกฤษเมื่อปี 2009 และ มาร์ติน โอนีล ผู้จัดการทีม แอสตัน ลิลล่า ในช่วงนั้น ก็ได้ยกย่องให้เขาได้เป็นนักเตะระดับ "เวิลด์คลาส" ส่วนเกมระดับทีมชาติ แอชลีย์ ยัง มีชื่อติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในชุด ยูโร 2008 ขอล สตีฟ แม็คคลาเรน ในนัดที่พบกับทีมชาติ รัสเซีย และ อิสราเอล แต่เขามีโอกาศได้ลงสนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 ในเกมกระชับมิตรที่พบกับ ออสเตรีย และอีกครั้งในเกมกระชับมิตรกับ เยอรมัน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 แต่เขาก็ไม่ได้มีรายชื่อติดทีมชาติ ในชุดที่จะไปลุยบอลโลกที่แอฟริกา จากนั้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2010 เขาก็ได้ลงรับใช้ทีมชาติอีกครั้งในฟุตบอล ยูโร 2012 รอบคัดเลือกที่พบกับทีมชาติ มอนเตเนโก จากนั้นเขาก็สามารถทำประตูแรกของตัวเองกับทีมชาติได้ ในนัดที่เจอกับทีมชาติ สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2011



พนันบอลออนไลน์



สำหรับการเล่นให้กับ แอสตัน วิลล่า ในฤดูกาลที่ 2010 - 2011 เขารับหน้าที่เป็นรองกัปตันทีม และเขายังถูกปรับให้ไปเล่นในตำแหน่งตัวฟรีในส่วนหน้าต่ำ และนั่นก็ทำให้เขาได้มีโอกาศโยกไปเล่นได้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา รวมไปถึงในแดนกลางอีกด้วย ในซีซั่นนั้นเขาได้ทำประตูไป 9 ลูก และยังแอสซิสให้เพื่อนยิงอีก 14 ครั้ง จากการที่เขาเล่นได้โดดเด่นกับวิลล่า ทำให้ในช่วงซัมเมอร์ของปี 2011 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้คว้าตัวเขามาร่วมทีม พร้อมกับการเซ็นสัญญา 5 ปี แต่ว่าทางสโมสรไม่ได้เปิดเผยค่าตัว และเขาได้สวมเสื้อหมายเลข 18 ซึ่งก่อนหน้านี้เป็น พอล สโคลส์

แอชลีย์ ยัง เขาลงเล่นอย่างเป็นทางการครั้งแรกให้ทีม ในนัดที่แมนฯยูเอาชนะทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในการแข่งขัน คอมมิวนิตี้ ชีลด์ เมื่อปี 2011 - 2012 ส่วนนัดแรกในลีกคือนัดที่พบกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ซึ่งเขาก็เปิดตัวได้อย่างดีเลยทีเดียว จากการที่เขาเปิดบอลให้กับ เวย์น รูนี่ย์ ทำประตูแรกในเกมได้และจากการเปิดบอลจากฝั่งซ้ายของเขา ทำให้ผู้เล่นของทีม เวสต์บรอมวิชทำเข้าประตูตัวเอง ช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 2 - 1 และอีกนัดหนึ่งที่เขาสามารถโชว์ฟอร์มได้ดีก็คือนัดที่ แมนฯยูไนเต็ด เอาชนะทีม อาร์เซน่อล 8 - 2 ซึ่งเขาทำได้ 2 ประตู ในเกมการแข่งขันนั้น แต่หลังจากการที่เขาล้มในเกมที่พบกับ QPR และ แอสตัน วิลล่า และช่วยให้ทีมได้จุดโทษเขาก็ถูกสื่อโจมตีอย่างหนักจากการที่หาว่าเขาพุ่งล้ม และได้ตั้งฉายาเขาว่าเป็นไอ้จอมพุ่งล้ม หลังจากเหตุการณ์นั้น เซอร์ อเล็กซ์ ก็ได้ออกมายอมรับว่าเขาจะพูดคุยกับ แอชลีย์ ยัง เรื่องการที่เขาล้มง่ายเกินไปในกรอบเขตโทษ



พนันบอลออนไลน์


แอชลีย์ ยัง ลงเล่นในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ นัดแรกกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในนัดที่ทีมเสมอกับ เอฟซี บาเซิ่ล 3 - 3 ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 และสำหรับในฤดูกาล 2012 - 2013 แอชลีย์ ยัง เขาก็ยังเป็นกำลังหลักของทีม และเขายังรับหน้าที่สังสรรค์เกมในทางฝั่งซ้าย เพื่อช่วยให้ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก กลับคืนมาให้ได้ ในฤดูกาล 2014 - 2015 ดูเหมือนว่ายังเขาจะมีความสุขกับทีมในยุคการคุมทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล เป็นอย่างมาก ยอดกุนซือชาวดัตช์ได้เปลี่ยนเขาจากผู้เล่นปีกคนหนึ่ง ให้กลายเป็นนักเตะที่สามารถเล่นได้หลากหลาย และนี่คือเรื่องราวของฤดูกาลที่ผ่านมาจากปากของ แอชลีย์ ยัง "ในช่วงต้นฤดูกาล เราบอกกันว่าเราจะทำอันดับเพื่อไปเตะในรายการแชมเปี้ยนลีกส์ให้ได้ และการที่เราทำได้แบบนั้น แม้จะต้องไปเตะในรอบคัดเลือกก่อนก็ตาม ผมก็คิดว่ามันเป็นปีที่ประสบความสำเร็จสำหรับเรา มันมีทั้งขาขึ้นและขาลงเกิดขึ้นตลอดฤดูกาล แต่ในช่วงท้ายของฤดูกาลเราก็ได้แสดงให้เห็แล้วว่าพวกเราแข็งแกร่งแค่ไหน"



พนันบอลออนไลน์



ยัง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านทาง MUTV "มันเป็นความประทับใจที่สุดยอดมาก ตอนที่ผมยิงประตูชัยในนัดที่พบกับนิวคาสเซิ่ลเมื่อเดือนมีนาคม มันเป็นการเก็บชัยชนะได้ในแบบของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเราก็ยังเคยพูดกันเสมอว่า เราสามารถคว้าโอกาศสำคัญได้ในช่วง 5 นาทีสุดท้าย หรือช่วงทดเวลาบาดเจ็บได้อยู่ตลอดเวลา และเราก็สามารถทำได้ในเกมกับนิวคาสเซิ่ล ผมปลื้มมากที่บอลมาเข้าเท้าผม และผมก็สามารถทำประตูได้ คุณดูจากการฉลองประตูเลยก็ได้ว่าพวกเรามีความสุขขนาดไหน ที่สามารถช่วยกันคว้า 3 คะแนนได้ เพราะว่าการแข่งขันในสนามแห่งนั้นมันไม่ใช่ง่ายๆเลย การที่ผมได้ร่วมงานกับ หลุยส์ ฟาน กัล ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก ต้องแต่ช่วงพรีซีซั่น ผู้จัดการทีมคนนี้ได้เข้ามาคุยถึงปรัชญาของเขา และสิ่งที่เขาต้องการให้พวกเราทำ รายละเอียด เล็กๆน้อยๆ ในสนามซ้อมทำให้สโมสรเป็นไปในทิศทางที่เขาต้องการ มันน่ามหัศจรรย์มาก และสำหรับผมแล้ว การได้ลงเล่นกับเขา และการได้ร่วมงานกับเขาวันแล้ววันเล่าถือว่าสุดยอดมาก เขาเป็นผู้จัดการทีมที่น่าทึ่ง และสถิติที่ผ่านมา ก็สามารถบ่งบอกถึงตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดี



เกียรติประวัติกับทีม

-คอมมิวนิตี้ ชีลด์ 2011
-พรีเมียร์ ลีก 2012 - 2013














พนันบอลออนไลน์

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ เวย์น รูนี่ย์

ประวัติของ เวย์น รูนี่ย์






พนันบอลออนไลน์


ข้อมูลนักเตะ


ชื่อเต็ม เวย์น มาร์ก รูนี่ย์


เกิดวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1985 (อายุ 29 ปี)


เกิดที่ เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ


สัญชาติ อังกฤษ


ส่วนสูง 176 เซนติเมตร


ตำแหน่ง กองหน้า และ กองกลาง


สโมสรปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


หมายเลขเสื้อ เบอร์ 10



เวย์น มาร์ก รูนี่ย์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 24 ตุลามคม ค.ศ. 1985 และเขาได้เติบใหญ่ขึ้นในหมู่บ้านครอกซ์เทท ในเมืองลิเวอร์พูล เขาเป็นนักฟุตบอลที่มีความสามารถหลากหลาย ปัจจุบันเขาเล่นให้กับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ทีมชาติอังกฤษ ในตำแหน่งกองกน้า และเมื่อผู้จัดการทีมคนใหม่อย่าง หลุยส์ ฟาน กัล ได้เข้ามาเปลี่ยนให้เขาไปเล่นในตำแหน่งกองกลาง ซึ่งเขายังทำหน้าที่เป็นกัปตันทีมของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ทีมชาติอังกฤษ อีกด้วย


พนันบอลออนไลน์


ประวัติการค้าแข้ง


เวย์น รูนี่ย์ เขาได้เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับทีม เอฟเวอร์ตัน เมื่อปี ค.ศ. 2001 ซึ่งในตอนนั้นเขาเล่นให้กับทีมเยาวชน และก็ได้ก้าวขึ้นมาเล่นให้กับทีมอาชีพ รูนี่ย์ เขามีบ้านเกิดอยู่ในย่าน คร็อกซ์เทธ ซึ่งในตอนแรกเขามีความฝันว่าอยากจะเล่นให้กับทีมเอฟเวอร์ตันมาก และภาพที่ประทับใจผู้คนก็คือการได้สวมใส่เสื้อยืดที่สกรีนว่า "Once a blue, Always a blue" และได้รับแรงบัลดาลใจจากการฝากตัวให้เป็นสาวกทีม "ท็อฟฟี่" จากครอบครัวและเขายังคงมีใจให้กับเอฟเวอร์ตันเสมอ เขาได้สวมเสื้อหมายเลข 18 และนัดที่เขาได้แจ้งเกิดนั้นก็คือ นัดที่เขายิงให้ทีมเอฟเวอร์ตันเอาชนะ อาร์เซน่อล เมื่อปี ค.ศ. 2003 ภายหลังต่อมาเขาก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่เป็นเพียงนักเตะฝึกหัดของสโมสร ที่ได้รับค่าจ้างเพียง 10 ปอนด์ ต่อสัปดาห์เขาก็ได้รับค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และฟอร์มการเล่นของเขาก็ได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มีหลายๆสโมสรจ้องที่จะดึงตัวเขาไปร่วมทัพ จนมาถึงปี ค.ศ. 2004 เวย์น รูนี่ย์ กลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก หลังจากที่เขาเซ็นสัญญาย้ายจากทีม เอฟเวอร์ตัน มาร่วมทัพกับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยที่มปีศาจแดงจ่ายค่าตัวสูงถึง 25.6 ล้านปอนด์ (ราวๆ 1,300 ล้านบาท) รูนี่ย์ ได้เลือกสวมเสื้อหมายเลข 8 และเขาได้รับค่าเหนื่อยสูงถึง 75,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ นอกจากนี้เขายังมีรายชื่อติดทีมชาติอังกฤษด้วย และได้สวมเสื้อหมายเลข 10



พนันบอลออนไลน์


ในศึกการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 เป็นปีที่ไม่ค่อยดีสำหรับ รูนี่ย์ เท่าไรนัก เพราะในรอบแรกเขาไม่สามารถลงเล่นได้ เนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บ และในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทีมชาติอังกฤษ ได้พบกับ ทีมชาติโปรตุเกส รูนี่ย์ เขาโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม และทีมชาติอังกฤษก็ตกรอบเนื่องจากแพ้การดวลจุดโทษ แฟนบอลและสื่อทีมชาติอังกฤษ ต่างเพ่งเล็งมาที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด เพื่อนร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เวย์น รูนี่ย์ ซึ่งเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการ ที่ทำให้รูนี่ย์ต้องโดนใบแดง และสื่อมวลชนก็ออกข่าวกันมาว่า เวย์น รูนี่ย์ ตั้งตัวเป็นศัตรูกับ โรนัลโด ซึ่งนั่นอาจจะส่งผลให้โรนัลโด้ย้ายทีม แต่ถึงอย่างไรก็ตาม รูนี่ย์ ได้สยบข่าวลือนั้นในซีซั่นที่ 2006 โรนัลโด ก็ได้เล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยุไนเต็ด ต่อไป เขากับโรนัลโดยังเล่นได้เข้าขากันมาก และยังคงเป็นกำลังหลักของทีมเหมือนเดิม ทั้งสองได้ร่วมกันคว้าถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ ในปี ค.ศ. 2007 และแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยติดต่อกันเมื่อปี 2007 - 2009 ก่อนที่ คริสเตียโน โรนัลโด จะย้ายออกจากทีมไป และในช่วงปี ค.ศ. 2007 รูนี่ย์ เขาได้เปลี่ยนมาสวมเสื้อหมายเลข 10 โดยมีตำนานดาวยิงของทีม แมนฯยู อย่าง เดนิส ลอว์ เป็นคนมอบเสื้อหมายเลข 10 ให้เขาเองด้วย ซึ่งเซอร์ อเล็กซ์ ได้ให้สัมภาษณ์ในวันเปิดตัวนักเตะว่า "ผมตื่นเต้นมาก ผมรูสึกว่าเราได้นักเตะหนุ่มที่เก่งที่สุดในประเทศนี้ ในรอบ 30 ปี เลยทีเดียว เราทุกฝ่ายต่างพอใจกับการเซ็นสัญญาในครั้งนี้" ในขณะที่ตัวนักเตะเองเขาก็ได้เปิดเผยว่า เขาต้องการที่จะเล่นให้กับทีมที่ได้ไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์




พนันบอลออนไลน์


ความจริงแล้ว รูนี่ย์ มีแนวโน้มว่าจะอยู่ที่ เมอร์ซี่ย์ไซด์ ต่อและหากว่าไม่มีการต่อรองจากทีม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ทีมปีศาจแดงก็อาจจะไม่ได้ตัวดาวเตะรายนี้ก็เป็นได้ ซึ่งในตอนนั้นสื่องต่างๆ ก้ได้ประโคมข่าวเกี่ยวกับการติดต่อซื้อตัวเขา และนั่นก็ทำให้ทีม เอฟเวอร์ตัน กดดันอย่างมาก แต่ถึงแม้เขาจะพยายามรั้งนักเตะรายนี้ไว้ ด้วยการเซ็นสัญญาถึง 5 ปี พร้อมกับค่าเหนื่อที่สูงที่สุด ในสถิติของสโมสรคือจำนวน 50,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่เขาก็ไม่ยอมต่อสัญญากับทีมอยู่ดี และจากการติดต่อของทีม "สาริกาดง" ก็ทำให้หลายทีมอื่นๆ ตื่นตัวในการแย่งดาวเตะรายนี้ ไม่ว่าจะเป็นเป็นยักษ์ในเกาะอังกฤษอย่าง แมนเชเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี รวมไปถึงทีมดังจากสเปนอย่าง เรอัล มาดริด และหลังจากนั้นไม่กี่วันก่อนที่ตลาดการซื้อขายจะปิด เดอะ แม็กพายส์ ก้ได้เปิดการต่อรองในตัวนักเตะ และได้เซ็นสัญญากับทีม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยุไนเต็ด เพียง 4 ชั่วโมงก่อนปิดตลาดเท่านั้น และการย้ายทีมของเขาหลังจากที่เล่นให้กับทีมเพียง 2 ฤดูกาล ทำให้แฟนๆของทีม "ท็อฟฟี่" โกรธอยู่ไม่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะการเจรจาในครั้งนี้ ใช้เงินในการพูด และสโมสรยังมีหนี้สินอีกมากมาย แถมยังไม่มีทางเลือกมากนัก ทำให้ทีมต้องยอมรับข้อเสนอของ แมนเชสเตอร์ ยุไนเต็ด



พนันบอลออนไลน์



เวย์น รูนี่ย์ ย้ายมายังถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยค่าตัวเริ่มต้นที่ 20 กว่าล้านปอนด์ ที่สโมสรจะจ่ายให้ เอฟเวอร์ตัน ทันทีและจะเพิ่มให้อีก 7 ล้านปอนด์ หากเจ้าหมูบิน รูนี่ย์ สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีกับสโมสรและทีมชาติ ซึ่งนัดแรกที่รูนี่ย์ลงเล่นให้กับทีม แมนฯยูไนเต็ดนั้น ก็ได้กลายเป็นนัดที่เขาสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง นั่นคือเขาสามารถทำแฮตทริกได้ ในนัดแรกที่ลงสนามให้กับทีมใหม่ และเป็นการยิงประตูทีม เฟร์เนบาเช่ ในรายการ ยุฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ เมื่อวันที่ 28 กันยายน และประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ที่เขาประเดิมให้กับทีมปีศาจแดงนั่นก็คือ ในนัดที่เจอกับทีม อาร์เซน่อล เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 2-0 ในโรงละครแห่งความฝัน และนั่นเป็นประตูฉลองวันเกิดที่เขาอายุครบ 19 ปี ในวันนั้นด้วย และก็ทำให้สาวกของทีมปีศาจแดงรู้ว่า "ฮีโร่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว" และหลังจากนั้นได้ไม่นาน พรสวรรค์ของเขาก็ได้เป็นที่ประจักษ์ ในระดับนานาชาติ และเขาก็ได้มีรายชื่อติดทีมชาติอังกฤษ และได้ลงเล่นด้วยอายุที่น้อยที่สุดในเดือน กุมภาพันธ์ เมื่อปีค.ศ. 2003 ซึ่งเขาถูกส่งลงไปในฐานะตัวสำรอง ในนัดที่พบกับทีมชาติ ออสเตรเรีย ที่สนาม อัพตัน พาร์ค



พนันบอลออนไลน์


เวย์น รูนี่ย์ เขายังเป็นผู้เล่นที่อายุน้อย ที่สามารถทำประตูให้กับทีมชาติด้วยวัยเพียง 17 ปี เมื่อปี ค.ศ. 2003 ในนัดที่พบกับทีมชาติมาซิโดเนีย ชื่องเสียงของเขาก็ได้โด่งดังในระดับโลก ในฐานะที่เขาเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยและมีพรสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขาโชว์ฟอร์มในฟุตบอล ยูโร 2004 ที่ประเทศ โปรตุเกส ในทัวร์นาเมนต์นี้เขาทำไปได้ 3 ประตู จากการลงเล่น 4 นัด โดยเขาทำประตูได้ในนัดที่พบกับ สวิตเซอร์แลนด์ และ โครเอเชีย และนั่นก็ทำให้เขาเป็นที่สนใจของกุนซือหลายๆทีม รวมไปถึง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่จ้องมองดูฟอร์มการเล่นของเขา ตั้งแต่เขาอายุเพียง 14 ปี และหลังจากการเจรจาต่อรองกันเป็นเวลานาน เอฟเวอร์ตัน ก็ได้ตกลงขายดาวเตะรายนี้ให้กับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เวย์น รูนี่ย์ เขาประสบความสำเร็จกับสโมสรอย่างต่อเนื่อง และมีอีกหลายสโมสรจ้องที่จะดึงตัวเขาไปร่วมทีม อย่างทีม เรอัล มาดริด โดยในปี ค.ศ. 2010 รูนี่ย์ ไม่ได้ต่อสัญญากับทีมต้นสังกัด และมีข่าวออกมาว่าเขาต้องการจะย้ายทีม และข่าวก็ได้เงียบไปเมื่อ เวย์น รูนี่ย์ ได้ต่อสัญญาใหม่กับทางต้นสังกัด และไม่ได้เปิดเผยค่าเหนื่อยที่ได้รับ










พนันบอลออนไลน์

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ รอย คีน

ประวัติของ รอย คีน







พนันบอลออนไลน์


ข้อมูลส่วนตัว


ชื่อจริง รอย มอริส คีน


เกิดวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1971


เกิดที่ เมืองคอร์ก ประเทศไอร์แลนด์


ทีมชาติ ไอร์แลนด์


ส่วนสูง 180 เซนติเมตร น้ำหนัก 76 กิโลกรัม


ตำแหน่ง กองกลาง


สโมสรปัจจุบัน แขวนสตั๊ดแล้ว




ประวัติการเป็นนักฟุตบอล

รอย คีน เขาเริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอลกับ คอบห์ รัมเบลอร์ส พอต่อมา ไบรอัน เคลาจ์ ได้มาติดต่อและได้พาเขาบินไปค้าแข้งที่อังกฤษกับทีม น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งในตอนนั้นเขามีอายุได้ 18 ปี โดยการลงสนามครั้งแรกของเขาถือว่าเป็นบทพิสูจน์ตัวเองของเขาอย่างแท้จริง เมื่อทีมต้องไปเยือน ลิเวอร์พูล ที่ถิ่นแอนฟิลด์ ซึ่งเป็นทีมที่ได้แชมป์ลีกในปีนั้น และเขาก็ได้จบฤดูกาลแรกของเขาแบบสมบูรณ์ กับการลงเล่นในแมตช์ชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรก ในปี 1991 เมื่อตอนนั้นเขาอายุ 20 ปี และจากฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขา ก็ไม่สามารถเล็ดรอดสายตาของทีมอื่นๆไปได้ เมื่อ แจ็ค ชาร์ตัน ผู้จัดการทีมสาธารณรัฐไอร์แลนด์ในตอนนั้น ได้เรียกตัวเขาติดทีมชาติในเดือน พฤษภาคม ค.ศ. 1991


พนันบอลออนไลน์


ในฤดูกาลต่อมาทีมของเขา น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ก็ได้พลาดท่าพ่ายให้กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ในลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศ รวมไปถึงทีมเขาต้องชั้นตกลงไปเล่นในพรีเมียร์ชิพ เลยทำให้การแย่งชิงตูเขาในช่วงปิดฤดูกาลได้เกิดขึ้น และทีมที่สามารถคว้าตัวเขาไปได้นั่นก็คือทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวมูลค่า 3.75 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นค่าตัวที่แพงที่สุดในสโมสร และเกาะอังกฤษในช่วงเวลานั้น ในระหว่างที่เขาเล่นให้กับ แมนฯยูไนเต็ด ทั้งทักษะ การขับเคลื่อน การตัดสินใจ และความมุ่งมั่นในเกม ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่ไม่สามารถมีใครมาแทนที่ได้ ทำให้เขาถูกเปรียบเทียบกับตำนานอดีตนักเตะของทีม อย่าง ไบรอัน ร็อบสัน เลยทีเดียว


พนันบอลออนไลน์

ปัจจุบันเขามีตำแหน่งเป็นถึงกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งได้รับช่วงต่อจาก เอริค คันโตน่า หลังจบฤดูกาล 1996-1997 ก็องโต้ ประกาศแขวนสตั๊ด แต่ก่อนเริ่มฤดูการแรกของการเป็นกัปตันทีมเพียงไม่กี่วัน เขาได้เจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าทำให้เขาต้องพักรักษาตัวอยู่นานเลยทีเดียว มีผู้เชี่ยวชาญมากมายหลายคนให้ข้อสังเกตุว่า ฤดูกาลใดก็ช่างที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สะดุด หรือว่าโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าผิดหวังนั้น ส่วนใหญ่มักมาจากการที่ทีมขาด รอย คีน และจากอารการบาดเจ็บของเขาในเดือน กันยายน ค.ศ. 1997  ทำให้ทีมปีศาจแดงพลาดการคว้าแชมป์ในปีนั้น และทีมชาติของเขาก็ตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกเมื่อปี 1998 ด้วย


ในฤดูกาล 1998-1999 คีนได้กลับมาลงเล่นด้วยความฟิตเหมือเดิม และเขายังสามารถช่วยทีมได้อย่างมากมาย จนกระทั่งในรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เขาต้องถูกใบแดงไล่ออกจากสนามเนื่องจากเขาถูกใบเหลืองในศึก แชมเปี้ยนลีกส์ รอบรองชนะเลิศที่พบกับ ยูเวนตุส ทำให้เขาไม่สามารถได้ร่วมทีมในนัดสำคัญที่ บาร์เซโลน่า ถึงอย่างไรก็ดี เขาได้กลับมาลงเล่นให้กับทีมต้นสังกัดได้ในนัดสุดท้ายก่อนปิดซีวั่น ในนัดที่พบกับทีม ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และได้ขึ้นรับถ้วยพรีเมียร์ชิพในที่สุด การเจรจาเซ็นสัญญากับเขาในปี 1999-2000 ก็เริ่มขึ้นด้วยการประโคมข่าวต่างๆ นานาของจากสื่อ บ้างก็ออกมาบอกว่ากัปตันทีมคนนี้ไม่ยอมรับข้อเสนอของทางต้นสโมสร จนกระทั่งก่อนเริ่มเกมแชมเปี้ยนลีกส์กับทีม บาเลนเซีย ก็มีข่าวออกมาว่าเขาเซ็นสัญญาใหม่กับทางต้นสโมสรแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่า เวลาเขาลงเล่นกับทีมก็ไม่มีอะไรน่าหนักอกหนักใจอีกแล้ว คีนสามารถทำประตูไปได้ถึง 12 ประตูในฤดูกาลนั้น ซึ่งครึ่งหนึ่งทำได้ในรายการถ้วยยุโรป เพราะเหตุนี้เองเขาจึงได้รับตำแหน่ง "นักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล" โดยสมาคมฟุตยบอลอังกฤษ หลังจากนั้นเขาก็ยังได้พาทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก เป็นครั้งที่ 7 ของสโมสรในปี 2000-2001


พนันบอลออนไลน์


ทางด้านการลงเล่นให้กับทีมชาติของ รอย คีน เขาก็ลงเล่นในนัดที่ 50 ให้กับทีมชาติ โดยชนะไซปรัส 4-0 จากฟอร์มการเล่นของเขาเลยช่วยให้ทีมชาติไอร์แลนด์ ได้ผ่านเข้าไปเล่นในบอลโลกรอบสุดท้าย 2002 ได้สำเร็จ โดยได้อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับทีมชาติ โปรตุเกส และ ฮอลแลนด์ แต่เขาก็ได้มีปัญหากับผู้จัดการทีมชาติ มิค แม็คคาธี่ย์ ทำให้เขาถูกส่งตัวกลับประเทศและไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมชาติในขณะนั้น สื่อต่างๆก็ออกมาให้ความสนใจกันมากว่ามันเกิดอะไรขึ้น และก็ทำนายกันไปต่างๆนานาว่าจะมีอะไรตามมา โดยหลังจาากนั้นต่อมาอีกไม่กี่เดือน รอย คีน ก้ได้ออกมาประกาศบอกว่าจะเลิกเล่นให้กับทีมชาติไอร์แลนด์ในที่สุด เขาโชคไม่ค่อยดีนักที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดที่บริเวณสะโพก และต้องพักไปอีกหลายเดือนในช่วงต้นฤดูกาล และเมื่อเขากลับมา ก็ดูเหมือนว่าเขาสงบ และใจเย็นขึ้นในการลงสนาม และแม้ว่าจะมีคำถามมากมายจากแฟนบอล และสื่อมวลชลว่าเขาจะอยู่กับทีมได้อีกนานแค่ไหน และจะย้ายออกไปเมื่อไหร่ แต่คีนเองก็ได้ออกมาตอบคำถามนี้ด้วยตัวเองว่า "ผมยังคงต้องมีงานที่ต้องทำอยู่นี่อย่างน้อย 2-3 ปีนี่แหละ" ซึ่งนั่นมันก็ช่วยทำให้แฟนบอลผีแดงมีความมั่นใจมากขึ้น


พนันบอลออนไลน์


ตำนานผู้เป็นที่รักของแฟนบอลปีศาจแดง 

อะไรที่ทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้ ? เขามาที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยค่าตัวอันเป็นสถิติของเกาะอังกฤษ 3.75 ล้านปอนด์ คีน เป็นนักเตะที่จะมักตั้งมาตรฐานไว้สูงเสมอสำหรับตัวเขาเอง และเพื่อนร่วมทีม นอกเหนือจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แล้ว ว่ากันว่า เขาคือส่วนสำคัญที่สุดที่ช่วยให้ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จในยุค 1990 นักเตะชาวไอริช มักจะกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอเมื่อเขาอยู่ในสนาม จนถึงทุกวันนี้เรายังได้ยินจากเพลง สเตรทฟอร์ด เอนด์ ที่ร้องว่า There's only one Keano กันอยู่ และนั่นเป็นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่จากคีน หลังจากที่เขาย้ายออกจากถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไปอยู่กับ กลาสโกว์ เซลติก ในปี 2005


ความสำเร็จสูงสุด ว่ากันว่าเกมที่ดีที่สุดของคีนนั่นก็คือ รอบรองชนะเลิศในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ เลกสอง กับยูเวนตุส เมื่อปี 1999 ตอนนั้นทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตามหลังอยู่ 0-2 ในช่วง 11 นาทีแรก และคีนก็ช่วยปลุกแรงฮึดจากทุกๆคนในทีม ทำให้ผลิกกลับมาเอาชนะไปได้ 3-2 แต่เกมนั้นก็ต้องแลกมาด้วยใบเหลือง และทำให้เขาไม่มีสิทธฺ์ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ นับเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มาก ช่วยให้ทีมได้ไปเตะที่ บาร์เซโลน่า โดยในเกมที่พบกับ ยูเวนตุสนั้น เขาเป็นคนโขกประตูทำให้ทีมไล่ตีตื้นมา หลังจากเกมผ่านไปครบครึ่งชั่วโมง จากนั้นก้ได้ประตูจาก ดไวท์ ยอร์ค และ แอนดี้ โคล ก็ทำให้ทีมได้รับชัยชนะมา

รอย คีน ได้กล่าวไว้ว่า "ในตอนที่ผมย้ายมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมได้ถือเอา ไบรอัน ร็อบสัน มาเป็นตัวอย่าง แต่ตอนนั้นผมยังหนุ่ม เมื่อคุณหนุ่มอยู่ คุณจะได้กลิ่นคาวเลือด ประมานว่า 'ร็อบโบ้ ผมไล่ตามคุณมาแล้วนะ ผมจะแย่งตำแหน่งจากคุณ' และนั่นแหละคือส่วนหนึ่งของเกม ถ้าไม่คิดอย่างนั้นมันก็คงไม่มีอะไรก้าวหน้า

พนันบอลออนไลน์

เพื่อนๆในทีมยุคนั้นได้บอกไว้ว่า "คีนเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นแรงจูงใจในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของผม เขาจะเล่นงานผมอย่างหนักทันทีเมื่อผมทำอะไรผิดพลาด เขาทำให้ผมตระหนักว่าการที่ได้เป็นนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นมันมีความหมายขนาดไหน" ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์


สถิติที่ต้องทำให้คุณทึ่ง ตลอช่วงเวลาในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ดาวเตะหมายเลข 16 ของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคนนี้ ได้ช่วยทีมคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้ 13 ครั้ง หลังจากที่เขาได้รับช่วงต่อสวมปลอกแขนกัปตันทีีมต่อจาก เอริค คานโตน่า ในปี ค.ศ. 1997 และคีนก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเหมาะสมแล้วกับตำแหน่งกัปตันทีม เขาช่วยให้เหล่านักทีม ปีศาจแดง เดินทัพสู้ต่อไปด้วย ทัสนะคติที่ว่าไม่ยอมแพ้ ด้วยความตั้งใจของนักเตะชาวไอริช ทำให้เขาได้รับรางวัลส่วนตัวมาครองมากมาย หลังจากที่เขาช่วยให้ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ในฤดูกาลที่ 1990-2000 กองกลางขาโหดรายนี้ก็ได้รับรางวัล นักเตะยอดเยี่มแห่งปี พีเอฟเอ จากการโหวตของนักเตะ และรางวัล รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของนักข่าว และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร จากผลการโหวตของแฟนบอล และมีอย่างหนึ่งที่พวกเราอาจไม่เคยรู้กันมาก่อน ในวัยเด็กคีนเคยเป็นนักมวยสมัครเล่นฝีมือดีเลยที่เดียว และนี่แหละมันทำให้เขานำมาใช้กับการเล่นฟุตบอล และมักจะโดนการตักเตือนจากผู้ตัดสินอยู่บ่อยๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆที่ รอย คีน จะมีชื่อเข้ามาติดเป็นอันดับ 1 ในลิสต์นักเตะฮาร์ดแมนของทีมปีสาจแดง หากเราเปรียบเทียบกับร่างกายมนุษย์แล้ว รอย คีน ก็ถือว่าเป็นหัวใจของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในปี 1999 และนั่นก็ไม่ใช่คำที่กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว













พนันบอลออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ แฟรงก์ แลมพาร์ด

ประวัติของ แฟรงก์ แลมพาร์ด





พนันบอลออนไลน์



ข้อมมูลนักเตะ


ชื่อเต็ม แฟรงก์ เจมส์ แลมพาร์ด


เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1978 (อายุ 37 ปี)


เกิดที่ รอมฟอร์ด เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ


ส่วนสูง 183 เซนติเมตร


เท้าที่ถนัดเท้าขวา


ตำแหน่ง กองกลาง


สโมสรปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้


ประวัติการค้าแข้ง

แฟรงก์ เจมส์ แลมพาร์ด หรือทที่เรารู้จักกันว่า แลมพาร์ด เขาได้ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1978 ณ กรุงลอนดอน เขาได้เกิดมาในตระกูลของนักฟุตบอล ซึ่งพ่อของเขาก็คือ แฟรงก์ แลมพาร์ด (ซีเนียร์) พ่อของเขาเคยเป็นอดีตกองหลังของทีมชาติอังกฤษอีกด้วย ส่วนลุงของเขาก็คือ แฮรี่ เรดแนปป์ ปัจจุบันเป็นผู้จัดการของทีม ควีนส์ปร์าค เรนเจอร์ส และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกันกับ เจมี เรดแนปป์ เคยเป็นอดีตนักเตะของ เซาแธมป์ตัน เช่นเดียวกัน


การศึกษาเขาจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน และเขาคือหนึ่งในอดีตนักเตะเยาวชนของ เวสแฮมยูไนเต็ด และเคยถูกยืมตัวไปเล่นให้กับทีม สวอนซี เมื่อปี ค.ศ. 1995 และได้ย้ายมาร่วมกับทีมเชลซีเมื่อปี ค.ศ. 2001 และเขาได้ติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1999 และเขายังเป็ดสุดยอดมิดฟิลด์ที่ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก ถึงผลงานตอนนี้ของเขาจะแผ่วลงไปมาก ไม่ว่าจะเป็นกับทั้งสโมสรหรือทีมชาติอังกฤษ และจากการที่ว่าเขาเล่นไม่เข้าขากับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันของทีม ลิเวอร์พูล ซึ่งมันน่าแปลกใจทั้งๆที่สองคนนี้เคยสนิทกันมาก แต่ทว่าแม้แต่งานแต่งงานของ เจอร์ราร์ด ก็ยังไม่มี แลมพาร์ด ไปร่วมในงานเลี้ยงนั้นด้วย เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 2007 ที่ผ่านมา แลมพาร์ดเป็นกองกลางที่ถือว่าทำประตูได้เยอะมาก ซึ่งเขาทำไปแล้วตอนนี้ 200 ประตู ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และเป็นกองกลางคนที่สองต่อจาก แมธทิว ทริสเซอร์ ที่ทำประตูมากกว่า 100 ลูกในพรีเมียร์ลีกนอกจากนนี้ แลมพาร์ดยังได้ทำสถิติ เป็นผู้เล่นคนเดียวที่ทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้มากกว่า 10 ประตูติดต่อกันถึง 9 ฤดูกาลอีกด้วย


พนันบอลออนไลน์


แฟรงก์ แลมพาร์ด เขาเริ่มอาชีพนักฟุตบอลกับทีม เวสแฮมยูไนเต็ด โดยลงเล่นกับทีมเยาวชนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993  และได้ทำผลงานได้ดีพอตัว อีกทั้งเขายังเป็นลูกชายของ แฟรงก์ แลมพาร์ด (ซีเนียร์) ผู้ช่วยคนสำคัญของ แฮรี่ เรดแนปป์ กุนซือของทีมขุนค้อนในจังหวะนั้นและซึ่งก็เป็นลุงของเขานั่นเอง



ฤดูกาลที่ 1994-1995 แลมพาร์ด เขาได้เซ็นสัญญาเป็นนะชักเตะกับสโมสร เวสแฮมยูไนเต็ด แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาศได้ลงเล่นกับชุดใหญ่ และเขาก็ได้ลงเล่นให้แค่ทีมสำรองของสโมสรอื่น



ฤดูกาลที่ 1995-1996 และแล้วโอกาศที่เขาได้สัมผัสเกมกับทีมชุดใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ โดยเขาได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมพรีเมียร์ชิพส์ และเขาก็ได้ลงเล่นให้เวสแฮม 2 นัด ก็ถูกปล่อยตัวให้ สวอนซี ซิตี้ ทีมจากดิวิชั่น 2 ยืมตัวไป โดยเขาได้ลงเล่นให้กับสวอนซี 9 นัด และยิงไป 1 ประตู



ฤดูกาลที่ 1996-1997 หลังจากที่เขากลับมาจากการถูกยืมตัว แลมพาร์ดก็มีโอกาศได้ลงสนามกับทีมมากขึ้น โดยเขาได้ลงเล่นไป 13 นัด แต่ก็ดันมาโชคร้ายเมื่อกระดูกขาขวาของเขาแตก ในนัดที่เจอกับ แอสตัน วิลล่า เขาเลยต้องพักยาว

พนันบอลออนไลน์

ฤดุกาลที่ 1997-1998 แลมพาร์ด เขากลับมาเล่นให้ทีมได้อีกครั้ง และได้ยึดตำแหน่งตัวจริงไว้ได้สำเร็จในซีซั่นนี้ ซึ่งเขาลงเล่นไปทั้งหมด 31 นัด ทำประตูได้ 4 ลูก และได้กลายเป็นมิดฟิลด์ดาวรุ่งขวัญใจกองเชียร์ของทีม "ขุนค้อน" ด้วยผลงานที่โดเด่นของเขากับทีมสโมสร ทำให้เขามีรายชื่อติดในทีมชาติอังกฤษชุดเล็กอีกด้วย



ฤดูกาลที่ 1998-1999 เขายังคงลงเล่นให้กับเวสแฮมอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ผลงานของสโมสรจะไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ แต่ชื่อของ แฟรงก์ แลมพาร์ด ก็ได้เข้าไปอยู่ในลิสต์ของกุนซือหลายๆคน ซึ่งในซีซั่นนี้เขาลงเล่นไป 38 นัด และซัดไป 5 ประตู



ฤดูกาลที่ 1990-2000 ซึ่งในซีซั่นนี้ เวสแฮมได้ผ่านเข้าไปเล่นใน ยูฟ่า คัพ โดยได้ผ่านการคัดเลือกจากถ้วย อิเตอร์โตโต คัพ และแลมพาร์ดก็ยังคงลงเล่นให้ทีมอย่างต่องเนื่อง โดยเขาลงเล่นไป 34 นัด ทำได้ 7 ประตู และหลังจากนั้นเขาก็มีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ และได้ลงเล่นนัดแรกกับทีมชาติชุดใหญ่ ซึ่งเป็นการอุ่นเครื่องกับทีมชาติ เบลเยียม ที่สนาม สเตเดี้ยม ออฟไลต์ (สนามเหย้าของทีม ซันเดอร์แลนด์) เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1999



ฤดูกาลที่ 2000-2001 เขาคือนักเตะที่มีความคงเส้นคงวามากที่สุดในะพรีเมียร์ชิพ โดยในปีนี้เขาลงเล่นไป 30 นัด แลัยิงได้ 7 ปรตู แต่ผลงานของทีมก็ไม่น่าประทับใจนัก และเมื่อพอจบฤดูกาลก็มีอีกหลายทีมที่สนใจในตัวเขา และก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในทีม เมื่อพ่อและลุงของเขาถูสโมสรไล่ออก จึงทำให้เขาไม่มีความสุขกับทีมต้นสังกัด และก็เป็นชายผู้นี้ เกลาดิโอ รานีเอรี กุนซือของทีมเชลซีได้ยื่นข้อเสนอเป็นเงิน 11 ล้านปอนด์ เพื่อขอซื้อตัวเขาไปร่วมทัพ


พนันบอลออนไลน์


ฤดูกาลที่ 2001-2002 เขาได้เซ็นสัญญามาร่วมทัพกับทีม เชลซี โดยเซ็นเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2001 ด้วยค่าตัวมูลค่า 11 ล้านปอนด์ และได้เริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งที่ท้าทายใหม่ๆอีกครั้ง โดยเขาลงเล่นเป็นกองกลางและได้ยืนคู่กับ เอมมานูเอล เปอตี ซึ่งถือเป็นคู่กองกลางที่แข็งแกร่งมาก เขาได้พาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาลแรกของทีมสิงโตน้ำเงินคราม แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อนัดชิงได้พ่ายให้กับ อาร์เซน่อล ซึ่งฤดูกาลนี้เองที่อาร์เซน่อลได้คว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งที่ 2  แลม พาร์ด ลงเล่นไปทั้งหมด 37 นัด ยิงไป 5 ประตู และอีก 1 ประตูจาก 4 เกม ในยูฟ่าคัพ ถึงแม้ว่าฤดูกาลนี้เขาจะโชว์ผลงานได้ดี แต่ก็ไม่มีชื่อติดทีมชาติไปฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้



ฤดูกาลที่ 2002-2003 จากความผิดหวังที่เขาไม่มีรายชื่อติดทีมชาติไปเล่นบอลโลก เขาจึงตั้งใจฝึกซ้อมและเล่นให้ดีมากกว่าเดิม และเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติอังกฤษให้ได้ และเขาก็สมารถทำได้ดีเลยทีเดียวโดยการพาทีมคว้าอันดับ 4 ของลีก และคว้าตั๋วไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ ให้ทีมได้สำเร็จ โดยในซีซั่นนี้เขาลงเล่นในลีกไป 38 นัด และทำได้ 6 ประตุ และอีก 1 ประตูจาก 2 แมตช์ ในยูฟ่าคัพ


พนันบอลออนไลน์


ฤดูกาลที่ 2003-2004 ในปีนี้เขาโชว์ฟอร์มได้ดีพอสมควร ทั้งในทีมชาติอังกฤษ และสโมสรเชลซี ซึ่งเขาลงเล่นในลีกไป 38 นัด และยิงไปได้ 10 ประตู และอีก 4 ประตู จาก 14 เกมในยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ และเขาได้รางวัลอันดับ 2 นักเตะยอดเยี่ยมจาก พีเอฟเอ โดยเป็นรองทางด้าน เธียร์รี่ อองรี ยอดนักเตะระดับโลกของอาร์เซน่อล และปีนี้เองที่เขาทำประตูให้ทีมชาติได้เป็นครั้งแรก ในนัดกระชับมิตรกับ โครเอเชีย เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2003


ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2004 ที่โปรตุเกส ปีนี้เขาได้มีชื่อเป็นตัวจริงในฐานะนักเตะคนสำคัญของทีม การลงเล่นในนัดแรกได้พบกับฝรั่งเศส และในนัดนั้นอังกฤษชนะไป 2-1 โดยแลมพาร์ด เขาทำได้ 1 ประตู และในนัดต่อมาเจอกับทีมชาติ สวิตเซอร์แลนด์ เขาก็พาทีมชนะไปได้ 3-0 และนัดต่อมาพบกับโครเอเชีย และแลมพาร์ดก็ได้ยิงอีก 1 ประตูจากชัยชนะ 4-2 แต่แล้วอังกฤษก็ต้องมาอกหักตกรอบเพราะเจ้าภาพในรอบต่อมาจากการดวลจุดโทษ


พนันบอลออนไลน์



ฤดูกาล 2009-2010 เขาสามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์กับเชลซีเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ โดยการที่ทีมเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ โดยเขาซัดไปทั้งหมด 27 ประตูรวมทุกรายการในตำแหน่งกองกลาง


ฤดูกาลที่ 2010-2011 เป็นอีกหนึ่งซีซั่นที่เลวร้ายมากสำหรับเขา ซึ่งเขาได้มีอาการบาดเจ็บเข้ามารบกวนอยูบ่อยๆมำให้เขาได้ลงเล่นไปแค่ 32 นัด และทำไปได้เพียง 13 ประตุ รวมทักรายการโดยแบ่งเป็น พรีเมียร์ลีก 10 ลูก และเอฟเอคัพ 3 ลูก


ฤดูกาล 2014-2015 แลมพาร์ด ได้ย้ายออกจากทีมเชลซี สโมสรที่เขาได้ประสบความสำเร็จและได้มีชื่อเสียงมากมาย ไปซบยังถิ่น นิวยอร์ค ซิตี้ ของ เมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา แต่เขายังไม่ได้ลงเล่นให้กับต้นสังกัดเลย ก็ถุกสโมสรแมนฯซิตี้ยืมตัวมาซะก่อน และพร้อมได้ประกาศว่าเขาจะเลิกเล่นให้กับทีมชาติ โดยเขาทำสถิติติดทีมชาติทั้งสิ้น 106 นัด และยิงประตูไปได้ทั้งหมด 29 ลูก







พนันบอลออนไลน์

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ เธียร์รี่ อองรี

ประวัติของ เธียร์รี่ อองรี





พนันบอลออนไลน์





ข้อมูลนักเตะ

ชื่อเต็ม เธียร์รี่ ดาเนียล อองรี


เกิดวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1977 (30 ปี)


สถานที่เกิด เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส


ส่วนสูง 188 เซนติเมตร


ตำแหน่ง กองหน้า ปีก


ทีมชาติ ฝรั่งเศส


สโมสรปัจจุบัน แขวนสตั๊ดแล้ว


ประวัติความเป็นมา


เธียร์รี่ ดาเนียล อองรี่ หรือ ที่เราเรียกกันว่า คิงเฮนรี่ ดาวเตะชื่อดังคนนี้เขาได้เกิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีค.ศ. 1977 อยู่ในเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันเขาได้เล่นให้กับทีม บาร์เซโลน่า ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึก ลาลีกา เสปน ซึ่งลงเล่นในตำแหน่งกองหน้า บางแมตช์เขาก็สามารถปลีกตัวออกไปเล่นเป็นปีกก็ได้ ใครๆก็ได้กล่าวว่า อองรี เขาเป็นกองหน้าระดับพรีเมี่ยมในการจบสกอร์ และการทำเกมส์รุกอย่างสร้างสรรค์ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะในดวงใจของแฟนบอลหลายๆคน


ชีวิตในวัยเด็ก

อองรี เขาได้เกิดและเติบโตอยู่ เลส อูลิส ซึ่งเป็นหมู่บ้านอยู่ในแถบชานเมืองปารีส แบะพอเขาอายุได้ 7 ขวบ เขาก็ได้แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาคนนี้คือยอดนักเตะแน่นอน จนทำให้ทีมท้องถิ่นซึ่งมีชื่อว่า เลส อูลิส มาดึงตัวเขาไปร่วมทัพเลยทีเดียว ก่อนที่ในปี 1989 เขาได้ย้ายไปร่วมทีม ยูเอส ปาเลเซา และหลังจากนั้น 1 ปี พ่อเขาไม่ถูกชะตากับสโมสรนี้ ทำให้เขาต้องย้ายไปอยู่กับทีม ไวรี่ ชาร์ติลอน เป็นเวลา 2 ปี

พนันบอลออนไลน์

เริ่มต้นชีวิตการค้าแข้ง


ปี 1992-1999 สโมสรโมนาโก

อองรี เขาได้เริ่มการเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัว โดยการที่เขาเป็นนักเตะฝึกหัดของสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสที่ แกร์ฟ็องแตง ซึ่งเป็นอคาเดมี่ที่ปั้นสตาร์ดังของฝรั่งเศสขึ้นมาหลายคน หลังจากที่เขาได้ผ่านการฝึกที่อคาเดมี่ออกมาแล้ว อองรี ก็ได้ลงเล่นให้กับทีมระดับเยาวชนมา 4 ทีม ก่อนที่เขาจะเริ่มเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างจริงจังกับทีม โมารโก ทีมชั้นแนวหน้าของฝรั่งเศสนั่นเอง โดยเขาได้ลงสนามตั้งแต่เขาอายุ 17 ปี โดยตอนนั้นโมนาโกมีกุนซือคือ อาร์แซน เวงเกอร์ นั่นเอง ซึ่งในช่วงนั้นกับทีม เขาถูกจับให้ไปเล่นเป็นปีกซ้าย อองรี ยิงได้ 3 ลูก จากการลงเล่น 18 นัด ในปี 1996 อองรี เขาได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยิดเยี่ยมแห่งปีของฝรั่งเศส และในฤดูกาลที่ 1996-1997 อองรี เขาก็ได้โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดทำให้สโมสร โมนาโก คว้าแชมป์ลีกเองมาครองได้สำเร็จ และต่อมาเมื่อปี 1997-1998 เขาก็สามารถพาทีมเข้าไปถึงรอบรองของรายการใหญ่ในยุโรปนั่นก็คือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ และเขายังได้ทำสถิติโดยการเป็นผู้เล่นฝรั่งเศสที่ทำประตูได้สูงที่สุดในรายการนั้น โดยเขายิงไปได้ 7 ประตู และในฤดูกาลที่ 3 ของเขากับทีมโมนาโก อองรี ถูกเรียกตัวให้ไปรับใช้ทีมชาติ โดยเขายังมีส่วนร่วมกับทีมในชุดแชมป์โลกเมื่อปี 1998 อีกด้วย เขาได้เล่นให้กับ โมนาโก อีก 2 ปี และเขายังสมารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและจากนั้นเขาก็ได้ย้ายออกจากทีมในเดือน มกราคม ค.ศ. 1999

พนันบอลออนไลน์

ฤดูกาลที่ 1999 สโมสรยูเวนตุส


จากฟร์อมการเล่นที่โดดเด่นของ อองรี ทำให้เขาถูกทีม ยูเวนตุส ยอดทีมชั้นนำแห่งศึก กัลโซ่ เซียอา ในอิตาลีดึงตัวไปร่วมทีมในช่วงเดือนมกราคม ค.ศ. 1999 โดยค่าตัวอยูที่ประมาน 10.5 ล้านปอนด์ (ราว 693 ล้านบาท) ซึ่งเขาถูกดันให้ไปเล่นในตำแหน่งปีกซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาถนัด ทำให้ฟอร์มการเล่นของเขาดูติดๆขัดๆ โดยทัำประตูได้แค่ 3 ประตู จากการลงเล่นเป็นตัวจริงทั้งหมด 16 นัด


ฤดูกาลที่ 1999-2007 สโมสรอาร์เซน่อล

หลังจากที่เขาอกหักกับชีวิตการค้าแข้งในอิตาลี ออง รี เขาก็มีโอกาศอีกครั้งเมื่อย้ายมาอยู่ที่ทีม อาร์เซนอล ซึ่งอยู่ภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน เวงเกอร์ อดีตเจ้านายเก่าของเขาที่สโมสร โมนาโก นั่นเอง ตัดสินใจทุ่มเงินซื้อ ออง รี มาร่วมทัพปืนด้วยค่าตัว 10.5 ล้านปอนด์ (ประมาน 693 ล้านบาท) ในเดือนสิงหาคม ปี 1999 ถือได้ว่าการย้ายมาเล่นให้กับ อาร์เซนอล ในครั้งนี้ทำให้เขาได้เล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า และหลังจากนั้นฟอร์มของเขาก็กลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งฤดูกาลแรกกับพรีลีกนั้นเขาซัดไปทุกถ้วยทุกรายการ 26 ประตู และยังช่วยให้ทีม รั้งอันดับที่ 2 ของตาราง รองจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เป็นแชมป์ในฤดูกาลนั้น รวมไปถึงรองแชมป์ ยูฟ่า คัพ โดยอาเซนอลไปพ่ายให้กับ กาลาตาซาราย ในรองชิงชนะเลิศ

หลังกลับมาจากชัยชนะของทีมชาติ ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์ฟุตบอลแห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2000 ที่ประเทศเบลเยียม และ ฮอลแลนด์ ในฤดูกาลที่ 2 ของอองรี กับทีม อาร์เซนอล (2000-2001) ก็เป็นไปได้อย่างสวยหรู โดยเขาได้กลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีม และขุนพลของทีมปืนใหญ่ก็กลายเป็น 1 ในทีมที่มีเกมรุกที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ชิพ แม้ว่าปีนั้นเขาจะยังไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ใดๆเลย

พนันบอลออนไลน์

และในปี 2001-2002 ความสำเร็จของทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอลก็ได้ถือบังเกิดขึ้น เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพ มาครองได้สำเร็จ และออง รี ก็มีส่วนสำคัญในการคว้้าแชมป์ในครั้งนี้ด้วย โดยทำแต้มทิ้งห่างทีมอันดับ 2 อย่าง ลิเวอร์พูล ไปถึง 7 แต้ม และยังสามารถคว้าถ้วย เอฟเอ คัพ มาครองได้สำเร็จอีกด้วย หลังจากที่ทีมเอาชนะ เชลซี 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ รวมถึง อองรี ก็ได้คว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของลีก ในฤดูกาลนั้นอีกด้วย โดยเขากดไปทั้งหมด 32 ลูก จากทุกรายการจนทำให้ทีม อาร์เซนอล ได้ดับเบิ้ลแชมป์มาครอง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

พนันบอลออนไลน์

เข้าสู่ปี 2002-2003 ถึงจะพลาดเสียแชมป์ลีก ให้กับทีม แมนฯยู ไปแต่ อองรี ก็ยังสามารถพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอคัพมาครองได้สำเร็จอีกครั้ง และเขายังทำประตูได้อีก 42 ลูก จากในทุกรายการที่เขาลงเล่น และนั่นส่งผลให้ อองรี ได้รับรางวัลนักฟุตบอลอาชีพยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) และนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี จากสมาคมนักข่าวกีฬา มาครองได้สำเร็จ และเขายังได้รองแชมป์นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกในปี 2003 อีกด้วย


ในฤดูกาล 2003-2004 ออรี ได้พา อาร์เซนอล กลับมาได้แชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะได้รับการสวมปลอกแขนกัปตันทีมเมื่อต้นปี 2005 หลังจากที่ ปราติส วิเอร่า กัปตันทีมคนเก่าได้ย้ายไป ยูเวนตุส และในฤดูกาลนี้เอง อองรี ก็ได้กลายเป็นผู้เล่นที่ยิงประตูได้เยอะที่สุด ในสโมสรอาร์เซนอล หลังจากที่ยิง 2 ประตูในนัดที่ อาร์เซนอล เอาชนะ สปาร์ต้า ปราก ในศึก ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2005 ทำให้ อองรี ยิงแซงสิติเดิมที่ 185 ประตูที่ เอียน ไรท์ เคยทำไว้ได้แล้ว นอกจากเขาจะทำประตูได้ยอดเยี่ยมแล้ว อองรี เขายังจ่ายบอลได้อย่างเฉียบคม และแม่นยำอีกด้วยโดยในฤดูกาล 2004-2004 นี้เขาแอสซิสให้เพื่อนไป 23 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของพรีเมียร์ลีก

พนันบอลออนไลน์


ในฤดูกาล 2005-2006 อาร์เซนอล ทำผลงานในพรีเมียร์ลีกได้ต่ำลงเรื่อยๆ โดยจบลงที่อันดับ 4 แต่ อองรี ก็ได้พาทีมเขาไปชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกเป็นครั้งแรก ก่อนที่ทีมจะพ่ายต่อ บาร์เซโลน่า ไปอย่าน่าเสีดาย ท่ามกลางข่าวลือที่ว่าเขาอาจจะย้ายไปร่วมทีมกับ บาร์เซโลน่า อีกด้วย แต่สุดท้ายแล้ว อองรี ก็ตัดสินใจต่อสัญญาฉบับใหม่อยู่กับ อาร์เซนอล ไปอีก 4 ปี โดยที่ เดวิด ดีน ประธานใหญ่ของสโมสรออกมาเผยว่ามีทีมใหญ่ทีมหนึ่งในยุโรปเสนอเงิน 50 ล้านปอนด์ (ราว 3,300 ล้านบาท) เพื่อที่จะดึงตัว อองรี ไปจากอาร์เซนอล แต่เขาได้ปฏิเสธไป ไม่งั้นอองรีคงกลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก แทนที่ ซีเนอดีน ซีดาน ตอนที่ย้ายจาก ยูเวนตุส ไป เรอัล มาดริด เมื่อปี 2001 ด้วยค่าตัว 47 ล้านปอนด์ (ประมาน 3,102 ล้านบาท)





พนันบอลออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ เฟร์นันโด ตอร์เรส

ประวัติของ เฟร์นันโด ตอร์เรส






พนันบอลออนไลน์




ชื่อเต็ม เฟร์นันโด โคเซ ตอร์เรส ชานซ์


วันเกิด 20 มีนาคม ค.ศ. 1984


เกิดที่ เมืองมาดริด ประเทศสเปน


ส่วนสูง 183 เซนติเมตร


เท้าที่ถนัด เท้าขวา


ตำแหน่ง กองหน้า


สโมสรปัจุบัน แอตแลตติโก มาดริด (ยืมตัวมากจากเชลซี)


หัวหอกหน้าหล่อ เฟร์นันโด ตอร์เรส เป็นนักฟุตบอลสัญชาติสเปนเขาเป็นนักเตะของทีมเชลซี แต่ปัจจุบันถูกดึงตัวด้วยการเช่ายืมไปยังถิ่นซานซีโร่ให้กับเอซีมิลาน และถูกทีมตราหมียืมไปต่อยังลีกลาลีกาสเปนด้วยสัญญา 1 ปีครึ่ง



ประวัติการค้าแข้ง

เฟร์นันโด ตอร์เรส เขาเกิดที่เมืองฟูเอนบราดา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆอยู่ทางตอนใต้ของกรุงมาดริด เขาเป็นนักเตะฝึกหัดของทีมตราหมี แอตแลนติโก มาดริด ในประเทศสเปน และเขาได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่ได้ และเขายังได้รับความไว้ใจจากโค้ชซึ่งได้มอบหมายให้เขาเป็นกัปตันทีมตั้งแต่อายุเพียง 19 ปีเท่านั้น แฟนบอลชาวสเปนได้ตั้งฉายาให้เขาว่า เอลนีโญ่(แปลว่าเด็ก) เนื่องด้วยหน้าตาเขาดูเด็กกว่าอายุมาก ตอร์เรสเขาเป็นศุนย์หน้าที่มีพรสวรรค์ในการเล่นมาแต่กำเนิด เขาสามารถทำประตูได้ 75 ประตู ในการเล่น 5 ฤดูกาลในลีกสโมสรสูงสุดของสเปน จะมีก็แต่ ซามูเอล เอโต้ กับ ดาวิด บีย่า ที่ยิงได้มากกว่าในช่วงเวลานั้น


สโมสรลิเวอร์พูล


ฤดูกาลที่ 2007-2008 (ฤดูกาลแรก)


โดยค่าตัวของ เฟร์นันโด ตอร์เรส ได้ถูกบันทึกสถิติไว้ว่าเป็นการซื้ิอขายสูงสุดในทีม ลิเวอร์พูล ซึ่งสื่อของเกาะอังกฤษออกมารายงานว่าค่าตัวของดาวเตะคนนี้อยู่ที่ประมาน 26.5 ล้านปอนด์ โดยราฟาเอล เบนิเตช นายใหญ่ของทีมหงษ์แดงในเวลานั้น ยืนยันกับสื่อสเปนว่าค่าตัวของตอร์เรสอยู่ที่ประมาน 20 กว่าล้านปอนด์ และยังมีรายงานมาอีกว่า ตอร์เรส ยอมลดค่่าเหนื่อยในการย้ายตัวมายังถิ่น แอนฟิลด์ ในครั้งนี้ ซึ่งหนังสือพิมพ์ The Time รายงานว่า ค่าตัวลดจาก 103,000 ปอนด์ ลดลงเหลือเพีย 91,000 ปอนด์

พนันบอลออนไลน์


เมื่อในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งตอร์เรสได้ลงงเล่นนัดเป็นตัวให้กับลิเวอร์พูล โดยเป็นการลงสนามพบกับทีม แอสตัน วิลล่า และจบการแข่งขันไปด้วยผลชนะ 2-1 และหลังจากนั้นตอร์เรสได้ปลดล็อคให้กับตัวเองในถิ่นแอนฟิลด์เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม เมื่อนาทีที่ 16 ในตอนนั้น ลิเวอร์พูลเสมออยู่กับเชลซี 1-1 ตอร์เรสเขาได้วิ่งไปรับบอลจากการจ่ายของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และล็อคหลบ ทาล เบน ฮาอิม ก่อนที่จะตะบันผ่านมือของ ปีเตอร์ เช็ค เข้าสู่ก้นตาข่ายไปอย่างสุดสวย

ตอร์เรสยิงแฮตทริกครั้งแรกให้กับลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 25 กันยายน ซึ่งเป็การแข่งขันในถ้วย คาร์ลิ่ง คัพ โดยเป็นการออกไปเยือน เรดดิ้ง และชนะไปด้วยสกอร์ 4-2 และประตูแรกของตอร์เรสเกิดขึ้นด้วยยิงให้ทีมหงษ์แดงออกนำ 2-1 และลูกที่สองของเขาคือการยิงให้ทีมออกนำไปอีกเป็น 3-2 และจบด้วยปรตูสุดท้ายคือลูก 4-2 และพอจบการแข่งขันเขาก็ได้ถูกรับเลือกให้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ประจำการแข่งขันในนัดนั้นด้วย และเนื่องจากการที่เขาทำแแฮตทริกได้  เขาจึงได้รับลูกบอลในการแข่งขันในนัดนั้นกลับไปเป็นที่ระลึกอีกด้วย

ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ตอร์เรส สามารถทำแฮตทริกในการแข่งขัน พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จซึ่งเป็นเกมที่ลิเวอร์พูลได้เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ มิดเดิ้ล สโบร และจบการแข่งขันด้วยชัยชนะ 3-2 และต่อมาในวันที่ 5 มีนาคม ในปีเดียวกันเขาก็ได้ทำแฮตทริกได้อีกครั้งในนัดที่ลิเวอร์พูลเอาชนะ เวสแฮม ยูไนเต็ด 4-0 ทำให้ตอร์เรสได้ถูกบันทึกสถิติไว้ว่า เขาเป็นนักเตะคนแรกต่อจาก แจ็คกี้ บัลเมอร์ ที่ทำแฮตทริกได้ในสนามแอนฟิลด์ติดต่อกันสองนัดในปี ค.ศ. 1946 และยังเป็นนักเตะคนที่ 5 ของสโมสรที่ทำได้ และหลังจากนั้นเขาก็ถูกรับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของเดือนกุมภาพันธ์ของพรีเมียร์ลีกในครั้งนั้น และเขายังเป็นนักเตะต่างถิ่นคนแรกที่ยิงได้ 15 ประตูในพรีเมียร์์ลกให้กับทีม ลิเวอร์พูล


พนันบอลออนไลน์


ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรส ก็ได้กลายเป็นผูเล่นคนแรกของสโมสรต่อจาก ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ที่สามารถทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้เกิน 20 ประตู ใน 1 ฤดูกาลเมื่อเขาได้ทำประตูในนาทีที่ 47 ซึ่งเป็นเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะทีมเรดดิ้งไป 2-1 และหลังจากนั้นเขายังยิงประตูช่วยใหทีมเอาชนะ อินเตอร์ มิลาน ในการแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปี้ยนลกส์ รอบ 16 ทีมสุดท้ายอีกด้วย


ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรส เขาสามารถยิงประตูที่ 30 ให้กับลิเวอร์พูลได้ในฤดูกาลแรกที่ย้ายมา โดยประตูที่ว่าเกิดขึ้นในแมตช์ที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะทีม แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ไปด้วยสกอร์ 3-1 อยู่ในการแข่งขันฟุตบอลแชมเปี้ยนชิพส์ของอังกฤษ และด้วยประตูนี้เองทำให้เขาได้ทำสถิติยิงประตูติดต่อกัน 7 นัด เมื่อลงเล่นที่สนามแอนฟิลด์


และในนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่สนาม ไวน์ ฮาร์ทเลน ซึ่งเป็นสนาามเหย้าของทีม สเปอร์ ในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ตอร์เรสได้ทำประตูสุดท้ายในฤดูกาลนี้ซึ่งเป็นประตูที่ 33 และนั่นทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูได้เกิน 30 ประตูในฤดุกาลเดียว ซึ่งก่อนหน้านั้นมีเพียงแค่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ทำได้ 30 ประตู เมื่อปี พ.ศ. 2539-2540 โดยเฉพาะในนัดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ในถิ่น แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลได้เปิดรังต้อนรับการมาเยือนของทีม "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 1-0 โดย ตอร์เรส เขาได้เป็นคนยิงประตูตัดสินศึกในครั้งนี้ ทำให้เขาสามารถทำประตูติดต่อกันได้ในถิ่นแอนฟิลด์เป็นครั้งที่ 8 เขาได้กลายเป็นนักเตะคนแรกของทีมที่สามารถทำประตูต่อหน้าแฟนบอลได้มากที่สุดของถิ่นแอนฟิลด์ได้ 8 นัดติดต่อกัน โดยมีเพียง โรเจอร์ ฮันต์ ที่ทำได้อีกคนแต่ทำได้ในลีก ดิวิชั่น 2 เดิมในช่วงทศวรรษที่ 60 เมื่อฤดูกาลที่ 1961-1962

พนันบอลออนไลน์


สโมสรเชลซี 


ในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554 เฟร์นันโด ตอร์เรสได้ย้ายจากถิ่นแอนฟิลด์มาซบที่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยค่าตัวที่สูงที่สุดในเกาะอังกฤษคือ 50 ล้านปอนด์(ราว 2,458 ล้านบาท) ซึ่งในเกมแรกในชุดสีเสื้อของเชลซีนั้นเขาได้ลงเล่นโดยเจอกับทีมเก่าคือ ลิเวอร์พูล ยังสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ผลการแข่งขันเชลซีแพ้ลิเวอร์พูลไป 0-1 ซึ่งตอร์เรสได้ถูกผู้เล่นของลิเวอร์พูลทำฟาวล์และได้รับอาการบาดเจ็บ เขาเลยถูกเปลี่ยนตัวออกมา และประตูแรกของตอร์เรสกับทีมเชลซีนั้น เกิดขึ้นในแมตช์ที่เชลซีเอาชนะเวสแฮม ยูไนเต็ดไป 3-0 ณ สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยนัดนั้นเชลซีขึ้นนำไปก่อน 1-0 ก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวลงไปทำประตูด้วยการสับไกด้วยเท้าซ้ายบอลพุ่งเข้าสู่ก้นตาข่ายเสวยงามและทำให้เชลซีออกนำห่างไปเป็น 2-0 และเขาก็ได้ถุกรับเลือกให้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนั้น


ฤดูกาลที่ 2011-2012

ตอร์เรสเขาได้มีโอกาศลงเล่นในการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ 2012 รอบแบ่งกลุ่ม เขาได้ยิงไปสองประตูช่วยให้ทีมเอาชนะ เกงค์ไป 5-0 และหลังจากที่เขาทำประตูได้ในนัดนั้นตอร์เรสก็ไม่สามารถยิงประตูได้อีกเลยในทุกรายการและนั่นจึงทำให้เขาถูกตัดชื่ออกจากทีมชาติสเปนชุดแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 จนในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555 "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซีเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ เชลซีชนะ 5-2 โดยตัวเขาเองยิงไป 2 ประตู และแอสซิสให้เพื่อนไป 2 ลูกและนั่นเป็นการหยุดสถิติการพังประตูคู่แข่งไม่ได้ในรอบ 5 เดือนของ ตอร์เรส 1,541 นาทีและยิงได้อีกหนึ่งประตูในเกมที่ชนะแอสตัววิลล่า 4-2 และหลังจากนั้นในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ ที่เชลซีบุกไปเสมอ บาร์เซโลน่า 2-2 โดยเกมนั้นตอร์เรสได้เป็นคนยิงประตูปิดท้าย ช่วยให้เชลซีเข้ารอบชิงชนะเลิศไปพบกับทีม บาเยิร์น มิวนิก ด้วยกฏประตูทีมเยือน

พนันบอลออนไลน์

ฤดูกาลที่ 2012-2013

ในแมตช์นี้เชลซีลงแข่งขันชิงถ้วยคัมมิวนิตี้ชิลด์กับทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยที่ตอร์เรสเป็นผู้เบิกสกอร์ให้ทีมสิงโตน้ำเงินขึ้นนำไปก่อน 1-0 แต่ผลสรุปคือเชลซีแพ้ 2-3 และการแข่งขันศึกพรีเมียร์ลีก 2012-2013 ก็ได้เปิดฤดุกาล ตอร์เรสได้ประเดิมประตูแรกของตัวเองในฤดูกาลนี้ซึ่งเป็นนัดที่เชลซีเปิดบ้านรับการมาเยือนของเรดดิ้ง และเชลซีเอาชนะไปได้ 4-2 และยังยิงได้เรื่อยๆนัดละหนึ่งเม็ดๆ ในแมตช์ที่ชนะนิวคาสเซิล 2-0 ชนะอาร์เซน่อล ชนะวูล์ฟแฮมตั้น 6-0 ชนะนอริช 4-1 ซึ่งในช่วงนี้เขาได้ลงการลงเพราะว่า แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บเลยเป็นโอกาศของตอร์เรสได้ลงไปล่าตาข่ายแทน

พนันบอลออนไลน์

สโมสรเอซี มิลาน

ในช่วงเริ่มซีซั่น 2014-2015 ตอร์เรสได้ถูกสื่อมวลชลวิจารณ์ว่าฟอร์อมของเขาดูดร็อปลงไปในช่วงนั้นปรักอบกับการย้ายมาเชลซีของ ดิเอโก้ คอสต้า กองหน้าร่วมชาติที่ย้ายมาจากทีม"ตราหมี"แอตแลนติโกมาดริด ที่เป็นทีมต้นสังกัดเก่าของเขาอีกด้วย เลยทำให้ตอร์เรสกลายเป็นหมาหัวเน่านั่งเฝ้าตัวสำรองจนทำให้บอสใหญ่ของเชลซีตัดสินใจให้ทีม เอซีมิลาน ทีมดังจากศึก กัลโซ่เซเรียอา ยืมตัวไปเป็นระยะเวลา 2 ปีด้ววยกัน


สโมสรแอตแลนติโก มาดริด

และในช่วงต้นปี ค.ศ. 2015 เฟร์นันโด ตอร์เรส เขาก็ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเก่าอย่าง แอตแลนติโก มาดริด ด้วยสัญญาการยืมตัวมากจากสโมสร เอซี มิลานเป็นเวลา 1 ปี โดยการกลับมาในครั้งนี้เขาได้เลือกสวมใส่หมายเลข 19 และท่ามกลางการต้นรับของแฟนบอลอย่างอบอุ่น ในนัดแรกที่เขาได้ลงเล่นนั่นก็คือถ้วย โกปา เดล เลย์ รอบ 16 ทีมสุดท้ายในนัดที่ 2 โดยเกมนี้ต้องออกไปเยือนเรอัล มาดริด ยังสนาม ซานดิเอโก้ เบนาเบว และตอร์เรส ก็ได้ซัดไป 2 ประตู โดยจบการแข่งขันเสมอกันไป 2-2 แต่ด้วยผลรวมจากนัดแรกทำให้ แอตแลนติโก มาดริด ชนะไป 4-2




พนันบอลออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ ไรอัน กิกส์

ประวัติของ ไรอัน กิกส์





พนันบอลออนไลน์


ข้อมูลส่วนตัว


ชื่อจริง ไรอัน โจเซฟ กิกส์


เกิดวันที่ 29 พฤษศจิกายน ค.ศ. 1973 (41ปี)


สถานที่เกิด เมืองคาร์ดิฟฟ์ ประเทศเวลส์


ส่วนสูง 179 เซนติเมตร


เท้าที่ถนัด เท้าซ้าย


ตำแหน่ง ปีก (ฉายาปีกพ่อมด)


สโมสรปัจจุบัน แขวนสตั๊ดแล้ว (เคยร่วมทีมกับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)




ประวัติในวงการลูกหนัง


หลังจากที่นายใหญ่ของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ฟังคำยืนยันจากหัวหน้าสเกาต์ของทีมแมนเชสเตอซิตี้คือ เคน บาร์เนส ว่าทางสโมสรเรือใบจะไม่เซ็นสัญญากับนักเตะรายนี้แล้วและนั่นมันก็ทำให้พวกเขาสูญเสียอย่างมหาศาลกับสิ่งที่พวกเขาปล่อยหลุดมือไป ซึ่งกลับกลายมาเป็นสิ่งที่ยิงใหญ่ที่สุดสำหรับสโมสร"แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด"ในเวลาต่อมา ในขณะที่กิ๊กส์อายุได้ 16 ปีเขาได้เซ็นสัญญาร่วมทีมสมัครเล่นและเริ่มเล่นเป็นอาชีพเมื่อเดือนพฤษศจิกายนในปีค.ศ.1990 ซึ่งอยู่ในช่วงหลังวันเกิดครบรอบ 17 ปีเพียงไม่นานทั้งๆที่เขาเคยเป็นกัปตันทีม England Schoolboys แต่นั่นก็เป็นแค่ช่วงที่เขาศึกษาอยู่ประเทศอังกฤษเท่านั้น กิ๊กส์ไม่สามารถเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษได้เพราะเขาเกิดอยู่ที่ประเทศเวลส์ทั้งครอบครัวของเขาเป็นคนเวลส์ทุกคนดังนั้นเขาเลยต้องเล่นให้กับทีมชาติเวลส์เท่านั้นจะเป็นทีมอื่นไม่ได้

พนันบอลออนไลน์

ไรอัน กิกส์หรือที่เรารู้จักกันในฉายยา"ปีกพ่อมด"ซึ่งเขาได้เป็นนักฟุตบอลดั้งเดิมของสโมสรตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นเยาวชน ซึ่งการประเดิมสนามในการเป็นจริงของเขาให้กับทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชุดใหญ่ด้วยอายุเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น ในวันที่ 2 มีนาคม คริสศักราช 1991โดยนัดที่กิ๊กเล่นได้ประทับใจแฟนบอลที่สุดก็คือ เอฟเอคัพในฟดูกาลที่ 1998-1999 ในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศที่เขาสามารถเลี้ยงลูกมาจากครึ่งสนามแล้วหลอกคู่แข่งก่อนจะเข้าไปยิงแสกหน้าเดวิ ซีแมน นายทวารของปืนใหญ่อาร์เซนอลในช่วงที่ต่อเวลาพิเศษ 120 นาที ทำให้ทีมปีศาจแดงเป็นฝ่ายเอาชนะปืนใหญ่ไปด้วยสกอร์ 2ต่อ1 ประตู ซึ่งผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศและได้คว้าแชมป์รายการนี้มาครองในที่สุดและถือว่ารางวัลนี้คือหนึ่งใน"ทริปเปิลแชมป์"หรือว่า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียวกันที่สโมสร"ปีศาจแดง"แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทำได้ในปีนั้นด้วย(พรีเมียร์ลีก,เอฟเอคัพ,ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก)การลงเล่นนักแรกในลีกให้กับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือวันที่2มีนาคมค.ศ.1991เขาต้องลงสนามกับทีมพบกับ เอฟเวอร์ตันซึ่งอยู่ในสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยเป็นตัวสำรอง และเขาลงเล่นแทน เดนิสไอร์วิน และการลงเล่นในศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมทช์ ครั้งแรกของเขาก็เป็นช่วงท้ายฤดูกาลและโดยที่เขาสามารถทำประตูแรกให้กับทีมได้ และเป็นประตูเดียวที่เขาทำได้ในฤดูกาลนั้น

พนันบอลออนไลน์

หลังจากอาการบาดเจ็บของ ลี ชาร์ป ในช่วงต้นฤดูกาล 1991-1992 เลยทำให้ไรอันกิ๊กส์ได้มีโอกาศลงเล่นกับทีมชุดใหญ่โดยลงเล่นในตำแหน่งที่เขาถนัดคือปีกซ้าย จากการที่เขาลงเล่นให้กับทีมปีศาจแดงทำให้เขาได้รับแชมป์จากทีมทุกๆถ้วยไม่ว่าจะเป็น ลีกคัพในปี ค.ศ. 1992 แชมป์เปี้ยนชิพส์(พรีเมียร์ลีก)ในปี ค.ศ. 1993,1994,1996.1997,1999,2000และ20001 เอฟเอคัพเมื่อปี ค.ศ. 1994,1996,และ19995 รวมไปถึงถ้วยใหญ่อย่าง ยูโรเปี้ยนคัพในปีค.ศ.1999กับประสบการณ์ระดับชาติเขากลายเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดที่เล่นให้กับทีมชาติเวลส์โดยนัดแรกกับทีมชาติเขาต้องเผชิญหน้ากับ เยอรมนี ด้วยวัยเพียงแค่17 ปี กับ 321 วัน

ไรอัน กิ๊กส์ ทำประตูที่สุดสวยและน่าจดจำให้กับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากมาย และนั่นก็รวมถึงประตูที่เขายิงให้กับทีมในศึกการแข่งขันเอฟเอ คัพ รอบ semi-final ที่พบกับ อาร์เซนอล ที่ วิลล่า พาร์คในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1999 ด้วย ในขณะนั้นเป็นช่วงนาทีสุดท้ายของการต่อเวลาและจบลงด้วยสกอร์ก็เสมอกันอยู่ที่ 1 - 1 หากจบเกมด้วยการเสมอก็จะต้องมีการยิงลูกโทษแต่ว่ากิ๊กส์ ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยเลี้ยงบอลตรงไปยังแนวรับของทีมอาร์เซนอล และลากหลบนักเตะทีมคู่แข่งถึง 4 คน ก่อนสับไกยิงเต็มข้อโดยแสกหน้าเดวิด ซีแมน หมดสิทธิ์เซฟ ลูกพุ่งเข้าตุงตาข่ายอย่างสวยงามเลยทำเอานักวิจารณ์หลายต่อหลายคน ยกให้เป็นประตูสุดสวยแห่งศตวรรษเลยทีเดียวและซึ่งชัยชนะในนัดนี้เป็นหนึ่งในสามแชมป์ที่ทีมปีศาจแดงทำได้ในฤดูกาลนี้และในเวลาต่อมาด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมทำให้แฟนบอลต่างก็ส่งเสียงเชียร์เขาพร้อมทั้งแต่งเพลง"Giggs will tear you apart again"เพื่อร้องเชียร์เขาในสนามด้วย พนันบอลออนไลน์

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พูดถึง ไรอัน กิ๊กส์ก่อนที่จะเริ่มฤดูกาล ที่2000/01 ว่า "ผมรู้ตั้งแต่นัดแรกที่เขาลงเล่นให้กับทีมเลยว่าเขามีความสามารถและมีพรสวรรค์และเขาก็เป็นนักเตะที่พิเศษมากคนหนึ่งตลอดช่วง10 ปีมานี้ เมื่อใดเขาเล่นได้เต็มที่ตามความสามารถของเขาเองมีน้อยคนนักที่จะตามจับเขาได้ น้อยคนที่มีฝีเท้าและการทะลุทุลวงอย่างเขาและเมื่อเขาได้จับบอล โดยมันเหมือนกับว่าเขาวิ่งได้โดยไม่มีบอลติดเท้านั่นล่ะ"และยิ่งเวลาเขาครองบอล"เขาทำให้แนวรับฝั่งตรงข้ามหัวปั่น และนอกจากพรสวรรค์ที่เขามีแล้วกิ๊กส์เขาก็ฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อทีมด้วย"

และหลังจากนั้นก็มีข่าวคราวการย้ายทีมของเขามากมายอยู่แต่ข่าวลือทุกข่าวก็จบลงเมื่อเขาตัดสินใจเซ็นสัญญาอยู่กับทีมไปอีกถึง5ปีตั้งแต่ปีคริสศักราช2001และไรอั้นกิ๊กส์เขาได้กล่าวไว้ว่า"ผมหวังว่าปีที่ดีที่สุดของผมมันกำลังจะมาถึงและในตอนนี้อายุผมก็ปาเข้าไป27ปีแล้วและอีก ถึง3 - 4 ปีข้างหน้า อาจเป็นช่วงสูงสุดในอาชีพค้าแข้งของผม"

และในเวลาถัดมา10 วันหลังจากนั้น เขาก็ทำประตูให้กับทีมได้ในการแข่งขันกับทีมโคเวนทรีซิตี้ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด และนั่นก็เป็นส่วนช่วยในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพได้เป็นครั้งที่ 7 ของเขา เขาทำประตูที่ 100 ในกับตัวเขาเองในการเล่นให้ทีมปีศาจแดงในวันศุกร์ที่23เดือนสิงหาคม ค.ศ. ที่2002 ในนัดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสมอกับเชลซี 2 - 2 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

พนันบอลออนไลน์

ลูกคนแรกของเขากับคู่หมั้นสเตซี่ย์และได้เป็นลูกผู้หญิง ได้ตั้งชื่อ ลิเบอร์ตี้ ซึ่งเกิดเมื่อวันที่10 เมษายน ค.ศ. 2003 แต่ข่าวดี ก็มาเกิดในช่วงที่ไม่ค่อยดีนักในอาชีพของเขาด้วยเพราะช่วงปลายฤดูกาลเขามีฟอร์มการเล่นที่ไม่ค่อยดีนัก ตามมาด้วยเสียงโห่และโดยเฉพาะในนัดที่เขาลงเล่น เวอร์ธิงตันคัพ ซึ่งเป็นการแข่งขันในรอบ semi-final ที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ใน โอลด์แทรฟฟอร์ด จากแฟนบอลของเขาเอง ซึ่งนั่นถือเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์จากผู้ที่เคยให้การสนับสนุนเขามาโดยตลอดมันได้สร้างความกดดันให้กับเขามากทีเดียว

แต่ด้วยความกดดันกลับทำให้เขาฮึดสู้และหลังจากนั้นเขากลับมาด้วยฟอร์มการเล่นที่ดีอีกครั้ง ในนัดที่พบกับทีมสโมสร"ไอ้ม้าลาย"ยูเวนตุส ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยประตูที่เกิดขึ้นในสนามสตาดิโอ เดลเล อัลปิ ทำให้ทุกเสียงโห่ต้องเงียบกริบ และเตือนความทรงจำของแฟนๆว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไรต่อไปในฤดูกาลหน้าที่พวกเขาจะลงเล่นในรายการนี้อีก...

แม้ว่าจะยังมีข่าวลือเกี่ยวกับการย้ายทีมอยู่เสมอแต่มันก็เป็นแค่ข่าวโคมลอยแล้วมันก็เริ่มเบาบางลง และ กิ๊กซี่ ก็ยังคงเป็นนักเตะที่สร้างสรรค์เกมได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและตามด้วยการคว้าแชมป์ลีก เป็นครั้งที่ 8 กับทีมในปี 2002/03 และ แชมป์ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 2003/04
ไรอัน กิ๊กส์ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเพิ่งจะผ่านฤดูกาลแรกในฐานะมือขวาของ หลุยส์ ฟาน กัลและไรอั้นกิ๊กส์เขาก็ตั้งใจที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับทีมผู้เล่นชุดปัจจุบัน

ดาวเตะตำนานสโมสรรายนี้ยอมรับว่าการปรับตัวในแง่ของวิธีการคิดถือเป็นความท้าทายที่หนักที่สุดที่เขาเคยเผชิญและเมื่อนับตั้งแต่เข้ามารับบทบาทใหม่นี้ แต่เขาก็ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นเทรนเนอร์ที่ดีที่สุดเท่าที่เขาสามารถเป็นได้

และสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณจะได้เรียนรู้จากการเป็นนักเตะแล้วมาเป็นโค้ชก็คือจะต้องไม่มีวิธีการคิดแบบนักเตะอีกต่อไปเพราะตอนนี้เขาคือโค้ชแต่จะต้องคิดแบบโค้ช" ไรอัน กล่าวกับ ManUtd.com ที่เอออนเทรนนิ่ง คอมเพล็กซ์ "ในฐานะนักเตะ บางทีคุณอาจเห็นแก่ตัวบ้างและคุณต้องการที่จะทำผลงานให้ได้ดีและคุณรู้ดีว่าคุณสามารถทำอะไรได้บ้างจนมันทำให้ผมเริ่มมีความคิดและจะไขว่คว้ามันมาได้อย่างไร"

"ผมต้องการที่จะเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดมาตลอดโดยผมเชื่อว่าซักวันผมต้องทำมันได้และตอนนี้ผมก็ต้องการเป็นโค้ชที่เก่งที่สุดด้วย นั่นหมายความว่าคุณจะต้องทำงานอย่างหนักคุณต้องมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นและทำทุกอย่างเท่าที่คุณทำได้ เพื่อให้ได้ไปถึงจุดนั้น แต่มันก็ถือว่าเป็นความท้าทายที่น่าสนุก"
พนันบอลออนไลน์
ตอนนี้เขาเริ่มคุ้นเคยกับชีวิตในฐานะโค้ชแล้วและกิ๊กซี่ทราบดีว่าเขาจะไม่สามารถโฟกัสแต่ในเรื่องของตัวเองเหมือนกับสมัยเป็นนักเตะได้แล้วแต่เขาจะต้องดูแลผู้เล่นทุกคนในทีม ซึ่งทั้งเขากับฟาน กัลจะต้องดึงเอาศักยภาพสูงสุดในตัวนักเตะแต่ละคนออกมาให้ได้

โดที่"คุณจะต้องดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดของนักเตะทั้ง 25 คน หรืออาจจะเป็น30 คนออกมาให้ได้ แต่ละคนก็มีวิธีแตกต่างกันออกไป" เขาเสริมและ"คุณจะต้องคอยสังเกตว่าแบบไหนที่มันได้ผล วิธีที่จะดึงศักยภาพสูงสุดในตัวพวกเขาออกมา"

ในเวลาต่อมาหลังจากผู้บริหารสโมสรลงมติปลดเดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่งและเมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2014 พร้อมทั้งแต่งตั้งให้กิกส์เขาทำหน้าที่เป็นทั้งผู้จัดการทีมและผู้เล่น จนกว่าจะจบฤดูกาลด้วยการเปิดตัวซึ่งผลงานนัดแรกของกิกส์ที่ได้ทำหน้าที่คุมทีมออกมานับว่ายอดเยี่ยมและเมื่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นฝ่ายเล่นในสนามของตัวเอง สามารถเอาชนะนอริชซิตีไปได้ด้วยสกอร์4-0รวมผลงานที่กิกส์เป็นผู้จัดการทีมทั้งหมด 4 นัด ชนะ 2 เสมอ 1 และแพ้ 1  และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7

ต่อมาในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ.ปีที่2014 กิกส์ได้ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการด้วยวัยอายุ40 ปี หลังจากเป็นผู้เล่นรับใช้ทีมมานานถึง 24 ปี และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมคนใหม่ คือ ลูวี ฟัน คาลไรอัน กิ๊กส์ ย้ายจาก เวลส์ มาอยู่ที่อังกฤษ ตั้งแต่อายุเพียงแค่7 ขวบ ในตอนนั้นเขาเล่นให้กับทีมเยาวชนของสโมสรDeen(ดีน)ซึ่งเป็นที่แรกที่เขาได้เรียนรู้การเล่นฟุตบอล โค้ชของเขาในตอนนั้นคือนักเตะอย่างเดนิส สโคฟิลด์ ซึ่ง กิ๊กส์ ถูก เดนิส ส่งไปเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์-ซิตี้ จนกระทั่งอายุได้ 14 ปี ในวันเกิดปีที่ 14 ของเขา อเล็กซ์เฟอร์กูสัน ได้เดินทางไปที่บ้านของเขาใน สวินตัน เมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อติดต่อนักฟุตบอลหนุ่มน้อยผู้นี้ไปร่วมทีม

เกียรติประวัติส่วนตัว

-นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของทีมพีเอฟเอในปี 2009
-ดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพในปี 1992,1993
-บราโว อวอร์ดในปี 1993
-ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมแห่งทศวรรษของพรีเมียร์ลีกในปีค.ศ.2003
-ได้รับเลือกเข้าสู่หอเกียรติยศฟุตบอลอังกฤษในปี 2005
-นักฟุตบอลเวลส์ยอดเยี่ยมแห่งปี 1996,2006
-รางวัลผูเล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีกเมื่อเดือน กันยายน 1993,สิงหาคม 2006,กุมภาพันธ์ 2007
-ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมแห่งทศวรรษของสมาคมนุกฟุตบอลอาชีพในปีคริสศักราช2007
-ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพในปี 1993,1994,1995,1996,1998,2001,2007






พนันบอลออนไลน์

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ ไรอัน กิกส์

ประวัติของ ไรอัน กิกส์





พนันบอลออนไลน์


ข้อมูลส่วนตัว


ชื่อจริง ไรอัน โจเซฟ กิกส์


เกิดวันที่ 29 พฤษศจิกายน ค.ศ. 1973 (41ปี)


สถานที่เกิด เมืองคาร์ดิฟฟ์ ประเทศเวลส์


ส่วนสูง 179 เซนติเมตร


เท้าที่ถนัด เท้าซ้าย


ตำแหน่ง ปีก (ฉายาปีกพ่อมด)


สโมสรปัจจุบัน แขวนสตั๊ดแล้ว (เคยร่วมทีมกับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)




ประวัติในวงการลูกหนัง


หลังจากที่นายใหญ่ของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ฟังคำยืนยันจากหัวหน้าสเกาต์ของทีมแมนเชสเตอซิตี้คือ เคน บาร์เนส ว่าทางสโมสรเรือใบจะไม่เซ็นสัญญากับนักเตะรายนี้แล้วและนั่นมันก็ทำให้พวกเขาสูญเสียอย่างมหาศาลกับสิ่งที่พวกเขาปล่อยหลุดมือไป ซึ่งกลับกลายมาเป็นสิ่งที่ยิงใหญ่ที่สุดสำหรับสโมสร"แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด"ในเวลาต่อมา ในขณะที่กิ๊กส์อายุได้ 16 ปีเขาได้เซ็นสัญญาร่วมทีมสมัครเล่นและเริ่มเล่นเป็นอาชีพเมื่อเดือนพฤษศจิกายนในปีค.ศ.1990 ซึ่งอยู่ในช่วงหลังวันเกิดครบรอบ 17 ปีเพียงไม่นานทั้งๆที่เขาเคยเป็นกัปตันทีม England Schoolboys แต่นั่นก็เป็นแค่ช่วงที่เขาศึกษาอยู่ประเทศอังกฤษเท่านั้น กิ๊กส์ไม่สามารถเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษได้เพราะเขาเกิดอยู่ที่ประเทศเวลส์ทั้งครอบครัวของเขาเป็นคนเวลส์ทุกคนดังนั้นเขาเลยต้องเล่นให้กับทีมชาติเวลส์เท่านั้นจะเป็นทีมอื่นไม่ได้

พนันบอลออนไลน์

ไรอัน กิกส์หรือที่เรารู้จักกันในฉายยา"ปีกพ่อมด"ซึ่งเขาได้เป็นนักฟุตบอลดั้งเดิมของสโมสรตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นเยาวชน ซึ่งการประเดิมสนามในการเป็นจริงของเขาให้กับทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชุดใหญ่ด้วยอายุเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น ในวันที่ 2 มีนาคม คริสศักราช 1991โดยนัดที่กิ๊กเล่นได้ประทับใจแฟนบอลที่สุดก็คือ เอฟเอคัพในฟดูกาลที่ 1998-1999 ในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศที่เขาสามารถเลี้ยงลูกมาจากครึ่งสนามแล้วหลอกคู่แข่งก่อนจะเข้าไปยิงแสกหน้าเดวิ ซีแมน นายทวารของปืนใหญ่อาร์เซนอลในช่วงที่ต่อเวลาพิเศษ 120 นาที ทำให้ทีมปีศาจแดงเป็นฝ่ายเอาชนะปืนใหญ่ไปด้วยสกอร์ 2ต่อ1 ประตู ซึ่งผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศและได้คว้าแชมป์รายการนี้มาครองในที่สุดและถือว่ารางวัลนี้คือหนึ่งใน"ทริปเปิลแชมป์"หรือว่า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียวกันที่สโมสร"ปีศาจแดง"แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทำได้ในปีนั้นด้วย(พรีเมียร์ลีก,เอฟเอคัพ,ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก)การลงเล่นนักแรกในลีกให้กับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือวันที่2มีนาคมค.ศ.1991เขาต้องลงสนามกับทีมพบกับ เอฟเวอร์ตันซึ่งอยู่ในสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยเป็นตัวสำรอง และเขาลงเล่นแทน เดนิสไอร์วิน และการลงเล่นในศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมทช์ ครั้งแรกของเขาก็เป็นช่วงท้ายฤดูกาลและโดยที่เขาสามารถทำประตูแรกให้กับทีมได้ และเป็นประตูเดียวที่เขาทำได้ในฤดูกาลนั้น

พนันบอลออนไลน์

หลังจากอาการบาดเจ็บของ ลี ชาร์ป ในช่วงต้นฤดูกาล 1991-1992 เลยทำให้ไรอันกิ๊กส์ได้มีโอกาศลงเล่นกับทีมชุดใหญ่โดยลงเล่นในตำแหน่งที่เขาถนัดคือปีกซ้าย จากการที่เขาลงเล่นให้กับทีมปีศาจแดงทำให้เขาได้รับแชมป์จากทีมทุกๆถ้วยไม่ว่าจะเป็น ลีกคัพในปี ค.ศ. 1992 แชมป์เปี้ยนชิพส์(พรีเมียร์ลีก)ในปี ค.ศ. 1993,1994,1996.1997,1999,2000และ20001 เอฟเอคัพเมื่อปี ค.ศ. 1994,1996,และ19995 รวมไปถึงถ้วยใหญ่อย่าง ยูโรเปี้ยนคัพในปีค.ศ.1999กับประสบการณ์ระดับชาติเขากลายเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดที่เล่นให้กับทีมชาติเวลส์โดยนัดแรกกับทีมชาติเขาต้องเผชิญหน้ากับ เยอรมนี ด้วยวัยเพียงแค่17 ปี กับ 321 วัน

ไรอัน กิ๊กส์ ทำประตูที่สุดสวยและน่าจดจำให้กับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากมาย และนั่นก็รวมถึงประตูที่เขายิงให้กับทีมในศึกการแข่งขันเอฟเอ คัพ รอบ semi-final ที่พบกับ อาร์เซนอล ที่ วิลล่า พาร์คในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1999 ด้วย ในขณะนั้นเป็นช่วงนาทีสุดท้ายของการต่อเวลาและจบลงด้วยสกอร์ก็เสมอกันอยู่ที่ 1 - 1 หากจบเกมด้วยการเสมอก็จะต้องมีการยิงลูกโทษแต่ว่ากิ๊กส์ ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยเลี้ยงบอลตรงไปยังแนวรับของทีมอาร์เซนอล และลากหลบนักเตะทีมคู่แข่งถึง 4 คน ก่อนสับไกยิงเต็มข้อโดยแสกหน้าเดวิด ซีแมน หมดสิทธิ์เซฟ ลูกพุ่งเข้าตุงตาข่ายอย่างสวยงามเลยทำเอานักวิจารณ์หลายต่อหลายคน ยกให้เป็นประตูสุดสวยแห่งศตวรรษเลยทีเดียวและซึ่งชัยชนะในนัดนี้เป็นหนึ่งในสามแชมป์ที่ทีมปีศาจแดงทำได้ในฤดูกาลนี้และในเวลาต่อมาด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมทำให้แฟนบอลต่างก็ส่งเสียงเชียร์เขาพร้อมทั้งแต่งเพลง"Giggs will tear you apart again"เพื่อร้องเชียร์เขาในสนามด้วย พนันบอลออนไลน์

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พูดถึง ไรอัน กิ๊กส์ก่อนที่จะเริ่มฤดูกาล ที่2000/01 ว่า "ผมรู้ตั้งแต่นัดแรกที่เขาลงเล่นให้กับทีมเลยว่าเขามีความสามารถและมีพรสวรรค์และเขาก็เป็นนักเตะที่พิเศษมากคนหนึ่งตลอดช่วง10 ปีมานี้ เมื่อใดเขาเล่นได้เต็มที่ตามความสามารถของเขาเองมีน้อยคนนักที่จะตามจับเขาได้ น้อยคนที่มีฝีเท้าและการทะลุทุลวงอย่างเขาและเมื่อเขาได้จับบอล โดยมันเหมือนกับว่าเขาวิ่งได้โดยไม่มีบอลติดเท้านั่นล่ะ"และยิ่งเวลาเขาครองบอล"เขาทำให้แนวรับฝั่งตรงข้ามหัวปั่น และนอกจากพรสวรรค์ที่เขามีแล้วกิ๊กส์เขาก็ฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อทีมด้วย"

และหลังจากนั้นก็มีข่าวคราวการย้ายทีมของเขามากมายอยู่แต่ข่าวลือทุกข่าวก็จบลงเมื่อเขาตัดสินใจเซ็นสัญญาอยู่กับทีมไปอีกถึง5ปีตั้งแต่ปีคริสศักราช2001และไรอั้นกิ๊กส์เขาได้กล่าวไว้ว่า"ผมหวังว่าปีที่ดีที่สุดของผมมันกำลังจะมาถึงและในตอนนี้อายุผมก็ปาเข้าไป27ปีแล้วและอีก ถึง3 - 4 ปีข้างหน้า อาจเป็นช่วงสูงสุดในอาชีพค้าแข้งของผม"

และในเวลาถัดมา10 วันหลังจากนั้น เขาก็ทำประตูให้กับทีมได้ในการแข่งขันกับทีมโคเวนทรีซิตี้ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด และนั่นก็เป็นส่วนช่วยในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพได้เป็นครั้งที่ 7 ของเขา เขาทำประตูที่ 100 ในกับตัวเขาเองในการเล่นให้ทีมปีศาจแดงในวันศุกร์ที่23เดือนสิงหาคม ค.ศ. ที่2002 ในนัดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสมอกับเชลซี 2 - 2 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

พนันบอลออนไลน์

ลูกคนแรกของเขากับคู่หมั้นสเตซี่ย์และได้เป็นลูกผู้หญิง ได้ตั้งชื่อ ลิเบอร์ตี้ ซึ่งเกิดเมื่อวันที่10 เมษายน ค.ศ. 2003 แต่ข่าวดี ก็มาเกิดในช่วงที่ไม่ค่อยดีนักในอาชีพของเขาด้วยเพราะช่วงปลายฤดูกาลเขามีฟอร์มการเล่นที่ไม่ค่อยดีนัก ตามมาด้วยเสียงโห่และโดยเฉพาะในนัดที่เขาลงเล่น เวอร์ธิงตันคัพ ซึ่งเป็นการแข่งขันในรอบ semi-final ที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ใน โอลด์แทรฟฟอร์ด จากแฟนบอลของเขาเอง ซึ่งนั่นถือเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์จากผู้ที่เคยให้การสนับสนุนเขามาโดยตลอดมันได้สร้างความกดดันให้กับเขามากทีเดียว

แต่ด้วยความกดดันกลับทำให้เขาฮึดสู้และหลังจากนั้นเขากลับมาด้วยฟอร์มการเล่นที่ดีอีกครั้ง ในนัดที่พบกับทีมสโมสร"ไอ้ม้าลาย"ยูเวนตุส ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยประตูที่เกิดขึ้นในสนามสตาดิโอ เดลเล อัลปิ ทำให้ทุกเสียงโห่ต้องเงียบกริบ และเตือนความทรงจำของแฟนๆว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไรต่อไปในฤดูกาลหน้าที่พวกเขาจะลงเล่นในรายการนี้อีก...

แม้ว่าจะยังมีข่าวลือเกี่ยวกับการย้ายทีมอยู่เสมอแต่มันก็เป็นแค่ข่าวโคมลอยแล้วมันก็เริ่มเบาบางลง และ กิ๊กซี่ ก็ยังคงเป็นนักเตะที่สร้างสรรค์เกมได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและตามด้วยการคว้าแชมป์ลีก เป็นครั้งที่ 8 กับทีมในปี 2002/03 และ แชมป์ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 2003/04
ไรอัน กิ๊กส์ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเพิ่งจะผ่านฤดูกาลแรกในฐานะมือขวาของ หลุยส์ ฟาน กัลและไรอั้นกิ๊กส์เขาก็ตั้งใจที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับทีมผู้เล่นชุดปัจจุบัน

ดาวเตะตำนานสโมสรรายนี้ยอมรับว่าการปรับตัวในแง่ของวิธีการคิดถือเป็นความท้าทายที่หนักที่สุดที่เขาเคยเผชิญและเมื่อนับตั้งแต่เข้ามารับบทบาทใหม่นี้ แต่เขาก็ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นเทรนเนอร์ที่ดีที่สุดเท่าที่เขาสามารถเป็นได้

และสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณจะได้เรียนรู้จากการเป็นนักเตะแล้วมาเป็นโค้ชก็คือจะต้องไม่มีวิธีการคิดแบบนักเตะอีกต่อไปเพราะตอนนี้เขาคือโค้ชแต่จะต้องคิดแบบโค้ช" ไรอัน กล่าวกับ ManUtd.com ที่เอออนเทรนนิ่ง คอมเพล็กซ์ "ในฐานะนักเตะ บางทีคุณอาจเห็นแก่ตัวบ้างและคุณต้องการที่จะทำผลงานให้ได้ดีและคุณรู้ดีว่าคุณสามารถทำอะไรได้บ้างจนมันทำให้ผมเริ่มมีความคิดและจะไขว่คว้ามันมาได้อย่างไร"

"ผมต้องการที่จะเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดมาตลอดโดยผมเชื่อว่าซักวันผมต้องทำมันได้และตอนนี้ผมก็ต้องการเป็นโค้ชที่เก่งที่สุดด้วย นั่นหมายความว่าคุณจะต้องทำงานอย่างหนักคุณต้องมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นและทำทุกอย่างเท่าที่คุณทำได้ เพื่อให้ได้ไปถึงจุดนั้น แต่มันก็ถือว่าเป็นความท้าทายที่น่าสนุก"
พนันบอลออนไลน์
ตอนนี้เขาเริ่มคุ้นเคยกับชีวิตในฐานะโค้ชแล้วและกิ๊กซี่ทราบดีว่าเขาจะไม่สามารถโฟกัสแต่ในเรื่องของตัวเองเหมือนกับสมัยเป็นนักเตะได้แล้วแต่เขาจะต้องดูแลผู้เล่นทุกคนในทีม ซึ่งทั้งเขากับฟาน กัลจะต้องดึงเอาศักยภาพสูงสุดในตัวนักเตะแต่ละคนออกมาให้ได้

โดที่"คุณจะต้องดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดของนักเตะทั้ง 25 คน หรืออาจจะเป็น30 คนออกมาให้ได้ แต่ละคนก็มีวิธีแตกต่างกันออกไป" เขาเสริมและ"คุณจะต้องคอยสังเกตว่าแบบไหนที่มันได้ผล วิธีที่จะดึงศักยภาพสูงสุดในตัวพวกเขาออกมา"

ในเวลาต่อมาหลังจากผู้บริหารสโมสรลงมติปลดเดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่งและเมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2014 พร้อมทั้งแต่งตั้งให้กิกส์เขาทำหน้าที่เป็นทั้งผู้จัดการทีมและผู้เล่น จนกว่าจะจบฤดูกาลด้วยการเปิดตัวซึ่งผลงานนัดแรกของกิกส์ที่ได้ทำหน้าที่คุมทีมออกมานับว่ายอดเยี่ยมและเมื่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นฝ่ายเล่นในสนามของตัวเอง สามารถเอาชนะนอริชซิตีไปได้ด้วยสกอร์4-0รวมผลงานที่กิกส์เป็นผู้จัดการทีมทั้งหมด 4 นัด ชนะ 2 เสมอ 1 และแพ้ 1  และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7

ต่อมาในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ.ปีที่2014 กิกส์ได้ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการด้วยวัยอายุ40 ปี หลังจากเป็นผู้เล่นรับใช้ทีมมานานถึง 24 ปี และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมคนใหม่ คือ ลูวี ฟัน คาลไรอัน กิ๊กส์ ย้ายจาก เวลส์ มาอยู่ที่อังกฤษ ตั้งแต่อายุเพียงแค่7 ขวบ ในตอนนั้นเขาเล่นให้กับทีมเยาวชนของสโมสรDeen(ดีน)ซึ่งเป็นที่แรกที่เขาได้เรียนรู้การเล่นฟุตบอล โค้ชของเขาในตอนนั้นคือนักเตะอย่างเดนิส สโคฟิลด์ ซึ่ง กิ๊กส์ ถูก เดนิส ส่งไปเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์-ซิตี้ จนกระทั่งอายุได้ 14 ปี ในวันเกิดปีที่ 14 ของเขา อเล็กซ์เฟอร์กูสัน ได้เดินทางไปที่บ้านของเขาใน สวินตัน เมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อติดต่อนักฟุตบอลหนุ่มน้อยผู้นี้ไปร่วมทีม

เกียรติประวัติส่วนตัว

-นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของทีมพีเอฟเอในปี 2009
-ดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพในปี 1992,1993
-บราโว อวอร์ดในปี 1993
-ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมแห่งทศวรรษของพรีเมียร์ลีกในปีค.ศ.2003
-ได้รับเลือกเข้าสู่หอเกียรติยศฟุตบอลอังกฤษในปี 2005
-นักฟุตบอลเวลส์ยอดเยี่ยมแห่งปี 1996,2006
-รางวัลผูเล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีกเมื่อเดือน กันยายน 1993,สิงหาคม 2006,กุมภาพันธ์ 2007
-ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมแห่งทศวรรษของสมาคมนุกฟุตบอลอาชีพในปีคริสศักราช2007
-ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพในปี 1993,1994,1995,1996,1998,2001,2007






พนันบอลออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติของ โรนัลโด

ประวัติของ โรนัลโด





พนันบอลออนไลน์


ข้อมมูลส่วนตัวผูเล่น

ชื่อเต็มของเขา โรนัลโด หลุยส์ นาซาริโอ เดอลิมา


วันเกิด 22 กันยายน ค.ศ. 1976


เกิดที่ เมืองริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล


สัญชาติ บราซิล


ส่วนสูง 183 เซนติเมตร


เท้าที่ถนัด เท้าขวา


ตำแหน่ง กองหน้าตัวเป้า


สโมสรปัจจุบัน แขวนสตั๊ดแล้ว



ประวัติของนักเตะ


โรนัลดู ลูอิส นาซาริอู จิ ลิมาหรือที่เรารู้จักกันในชื่อสั้นๆว่า โรนัลโด เขาเป็นกองหน้าระดับโลกคนหนึ่งที่เคยมีมาไม่ว่าจะเป็นสไตล์การเล่นของเขา จังหวะจบสกอร์อันเฉียบขาดจนทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกโรนัลโดเป็นอดีตนักเตะทีมชาติบราซิลแต่ทุกวันนี้เขาได้แขวนสตั๊ดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งด้วยเหตุผลหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นอายุที่เพิ่มมากขึ้น น้ำหนัก และอาการบาดเจ็บต่างๆที่คอยกวนใจเขานั่นจึงทำให้เขาได้ตัดสินใจอำลาวงการลูกหนังไป

ในปีค.ศ.1993 เขาได้เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัวกับสโมสรกรูเซย์รูในฤดูกาลแรกเขาสามารถทำประตูไปได้ถึง 12 ประตูด้วยกันด้วยการลงเล่นเพียง 14 นัดซึ่งโรนัลโดมีอายุเพียงแค่ 17ปีเท่านั้นและต่อมาเขาก็ได้ถูกแมวมองจากทีมยักษ์ใหญ่อย่าง พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นจากลีกฮอนแลนด์มาดูฟอร์มการเล่นของเขาแล้วได้ดึงตัวเขาไปร่วมทัพ นอกจากนั้นโรนับลโดก็ยังได้ร่วมทางกับสโมสรใหญ่ในทวีปยุโรปอย่างสโมสร บาร์เซโลน่า,อินเตอร์มิลาน,เรอัลมาดริด,และเอซีมิลาน

พนันบอลออนไลน์

ในส่วนการลงเล่นให้กับทีมชาติบราซิลนั้น เขาได้ลงเล่นกับทีมชาติชุดใหญ่ 97 นัด และทำประประตูไปทั้งหมด 65 ลูกซึ่งเป็นรองเพียงแค่ เปเล่และโรมาริโอเท่านั้นและโรนัลโดยังเป็นเจ้าของสถิติ 15 ประตูนักเตะที่ยิงสูงสุดตลอดกาลของโลกในศึกการแข่งขันฟุตบอลโลกอีกด้วย โรนัลโดได้พาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัยเมื่อปี ค.ศ. 1994 และ ปีค.ศ. 2002 หลังจากนั้นต่อมากก็ถูกแย่งสถิติโดย มิโรสลาฟ โครเซ่ ในศึกฟุตบอลโลกปี 2014

โรนัลโดเขาได้รับฉายาว่า O Fenomeno (ในภาษาอังกฤษก็คือ The Phenomenon)และเขายังเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จมากมายอย่างรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป 2 สมัยเมื่อปีค.ศ.1997 และ ค.ศ. 2002 รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลกโดยทางฟีฟ่าเป็นคนมอบให้อีก ถึง3 สมัยซึ่งมีแค่โรนัลโดและซีดานเท่านั้นที่เคยทำได้ในปี ค.ศ. 2007 และเขาถูกจัดให้เป็นหนึ่งในนักฟุตบอล 100 คนที่ยอดเยี่ยมและเก่งที่สุดตลอดกาลโดยนิตยสารฟุตบอลของประเทศฝรั่งเศสและหนึ่งในนั่นเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คือเปเล่

เมื่อในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2013โรนัลโดเขาได้ออกมาให้สื่อสัมภาษณ์ถึงการแขวนสตั๊ดของเขาอย่างเป็นทางการเนื่อจากว่ามีอากาารบาดเจ็บรบกวนบ่อยรวมไปถึงเขาเตกอยู่ในภาวะขาดไทรอยด์อีกด้วย

ต่อมาในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2015 โรนัลโดเตรียมฟิตหุ่น โดยเจ้าตัวออกมาเผยว่าตัวเขาจะพยายามเรียกความฟิตเต็มที่เพื่อที่จะได้กลับมาลงสนามอีกครั้งกับทีมสโมสร ฟอร์ต เลาเดอร์เดล สตรเกอร์ส  ในศึกนอร์ธ อเมริกัน ซอคเกอร์ลีก โดยเป็นลีกดิวิชั่น2 ของลีกลูกหนังสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ทั้งนั้นโรนัลโดผ่านการลงเล่นให้กับสโมสรยักษ์ใหญ่มามากมายไม่ว่าจะเป็นทีมเจ้าบุญทุ่ม"บาร์เซโลน่า" ราชันชุดขาว"เรอัล มาดริด" และปีศาจแดงดำ"เอซีมิลาน" ซึ่งเขาลงเล่นฟุตบอลอาชีพกับทีม โครินเธียนส์ เป็นสโมสรสุดท้ายในปี 2011 ก่อนที่เจ้าตัวจะประกาศแขวนสตั๊ดเนื่องจากว่าสภาพร่างกายและสังขารนั้นไม่ไหวเกินวัยที่จะเล่นฟุตบอลแล้ว แล้วก็กลับมาเล่นอีกครั้งในปี 2015 ถ้าหากว่าเราจะพูดถึงดาวยิงระดับพระกาฬคนนี้นั้นถ้าว่าพูดชื่อว่าโรนัลโดขึ้นมาในยุคนี้เขาคงจะโผล่ขึ้นมาอยู่ในใจของแฟนบอลทั่วโลกเป็นที่แน่นอน ด้วยการเล่นที่แพรวพราวและการทำประตูที่ทะลุทะลวงที่เขาโชว์ให้ชาวโลกได้เห็นผ่านจอโทรทัศน์หรือว่าสองตามาแล้วนั้นรวมๆแล้วเกือบ 10 ปีด้วยกันและความสำเร็จอีกมากมายที่เขาได้มามันคงเป็นอะไรที่สุดยอดแล้วสำหรับนักฟุตบอลอาชีพ

พนันบอลออนไลน์

สำหรับนักเตะรายนี้แล้วที่มาของเขาก็คือ โรนัลโดเขาเกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ปี ค.ศ. 1976 เขาเป็นชาวบราซิลที่ย้ายมาพักอยู่ในยุโรป ตั้งแต่อายุของเขายังน้อย ด้วยการเล่นฟุตบอลอันสุดยอดเยี่ยมกระเทียมดองของเขาทำให้โด่งดังสั่นสะเทือนวงการลูกหนังในบ้านเกิดตั้งแต่เขายังเด็กๆ และถูกสโมสรอย่าง พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นดึงตัวมาร่วมทีมในตอนที่เขาอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น

หนทางในการค้าแข้งของเขาเริ่มต้นในวัยเพียง 14 ปีเท่านั้นเมื่อเขาถูกทาบทามให้กับทีมชาติบราซิลชุดเยาวชนโดยมี แจร์ซินโญ่ อดีตนักเตะแข้งตำนานของทีมแซมบ้า นอกจากนั้นแจร์ซินโญ่ยังแนะนำให้สโมสร ครูไซโร่อดีตทีมต้นสังกัดของเขา จัดการจับเจ้าหนูคนนี้เซ็นสัญญาไว้เลยและให้นำมาร่วมทัพในทันที่เป็นการเริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัวของเขาก็ว่าได้

ต่อมาในปี 1993 โรนัลโดในวัย 16 ปีก็ได้จัดการล่าตาข่ายถล่มประตูให้กับทีมชาติบราซิล รุ่นยู-17 ได้ถึง 59 ประตูจากการลงเล่น 57 นัด และในปีต่อมาเขาก็ถูกเรียกตัวไปติดทีมชาิชุดใหญ่ของทีมแซมบ้าบราซิลพร้อมทั้งถูกเลือกให้ติดทีมสโมสร“เซเลเซา” ชุดที่ไปทำศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 1994อยู่ที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดยที่ คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ปาร์เรร่า กุนซือของทีมชาติบราซิล ในชุดนั้นหวังว่าเจ้าหนูมหัศจรรย์ของเขา จะได้เรียนรู้อะไรดีๆจาก อดีตดาวเตะอย่างโรมาริโอ และ เบเบโต้และกองหน้ารุ่นพี่ ที่เป็นกำลังสำคัญของทีมแซมบ้า ในเพลานั้น

โดยที่ทีมชาติบราซิล สามารถทะละทะลวงคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ในปี1994 มาครองได้ ทำให้ โรนัลโด้ ก็ได้เหรียญแชมป์ฟุตบอลโลก ได้มาครองไปด้วยและในขณะที่มีวัยเพียง 17 ปี แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงสนามในฟุตบอลโลก ครั้งนั้น เลยก็ตาม

พนันบอลออนไลน์

และต่อมาหลังจากนั้นอีก สี่4 ปี ในฟุตบอลโลก 1998 ที่ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ โรนัลโด้อยู่ในวัยฉกรรจ์ ก็พาบราซิล เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ อีกครั้ง ก่อนจะไปพ่ายให้กับ ทีมชาติฝรั่งเศส แบบยับเยิน ชนิดคาใจคนทั้งโลก ท่ามกลางข่าวลือว่า เจ้าเหยินโรนัลโด้ ไม่ฟิตสมบูรณ์ ก่อนลงเตะนัดชิงชนะเลิศ แต่ก็ต้องฝืนสังขารลงไปยืนค้ำ ก็ได้ขู่แผงกองหลังฝรั่งเศส เพราะสปอนเซอร์ส่วนตัวของเขา ต้องการอย่างนั้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โดยที่โรนัลโด้ และพลพรรคนักเตะบราซิล ก็มาแก้ตัวได้สำเร็จ อยู่ในฟุตบอลโลก 2002 ที่ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ เมื่อคว้าแชมป์โลก ได้เป็นสมัยที่ 5 มาครองได้ ด้วยการปราบ เยอรมัน ในรอบชิงชนะเลิศ แถมยังเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก สมัยที่ 2 ของ โรนัลโด้ และเขายังคว้ารางวัลดาวซัลโวของการแข่งขันมาครองได้ ด้วยการซัดไป 8 ประตู

และส่วนเส้นทางในระดับสโมสรนั้น หลังจากที่ เขาก็ได้เซ็นสัญญานักเตะอาชีพกับครูไซโร่ ด้วยวัย17 ปี โรนัลโด้ แล้วก็ซัดไปกระจุยกระจาย 12 ประตู จากการลงสนาม 14 นัด ก่อนจะถูก สโมสรพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ดึงตัวมาร่วมทีมในฤดูกาล 1994-1995 และ ไอ้เหยินโรนัลโด้ ก็มาสร้างความฮือฮาในลีกฮอลแลนด์ เป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีกดัตช์ ก็ทำให้ บาร์เซโลน่า ทีมพี่เบิ้มของสเปน ดึงตัวมาร่วมทีม ในฤดูกาล ที่1996-1997 และ ดาวยิงฟันเหยิน ก็กดไประเบิดระเบ้อ ไปถึง47 นัด จากการลงสนาม ทั้งหมด49 นัด พาทีมคว้าแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ มาครองได้ ก่อนจะย้ายไปร่วมทีม อินเตอร์ มิลาน ทีมชั้นนำของอิตาลี ในฤดูกาลต่อมา

หัวหอกแซมบาโรนัลโด้ เขามีประสบการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในการค้าแข้งกับ อินเตอร์ มิลาน และเมื่อโดนปัญหาบาดเจ็บ รบกวนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังอุตสาห์ยิงไปถึง รวมแล้ว49 ประตู จากการลงสนาม 68 นัด ก่อนจะถูก รีล มาดริด ทีมมหาอำนาจของสเปน ได้คว้าตัวมาร่วมทีม ในปี 2002 ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 27 ล้านปอนด์ จนว่าและเขาก็พาทีม “ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์ ลา ลีกา มาครองได้ อยู่ในปี 2003 ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ลีก มาครองได้เป็นครั้งแรก ในอาชีพของเขาอีกด้วย

พนันบอลออนไลน์

แต่หลังจากนั้น ชื่อเสียงของโรนัลโด้เริ่มตกลง และเขาเริ่มมีปัญหาทางด้านความฟิต บวกกับสภาพร่างกายที่อ้วนเป็นหมู ในฤดูกาล 2006-07 ที่เขาได้ลงแค่ 13 นัด(แต่อุตส่าห์ยิงได้ 4ลูก) นั่นเป็นฤดูสุดท้ายของเขา และชุดขาว เมื่อเขาถูกขายออกจากทีมไป และก็เป็นเอซี มิลาน ทีมคู่ปรับอดีตทีมของโล้นทองคำ มารับช่วงต่อระหว่างฤดูกาล อยู่ในราคา 7.5 ล้านยูโร และด้วยผลงานฤดูกาลครึ่งของเขา ได้ลงสนามทั้งสิ้น ไป“20 นัด” ยิงได้ 9 ลูก บ่งบอกว่า สภาพความฟิตของเขาไม่พร้อมที่จะเล่นในลีกชั้นนำอีกต่อไป

เมื่อเข้าปี 2008 ชื่อเสียงของโรนัลโด้เริ่มตกลง และสัญญาของโรนัลโด้กับทีมก็หมดลงด้วย และแน่นอนว่าทางสโมสรไม่ต่อสัญญากับเขา เขาหายตัวไปช่วงหนึ่ง มาถึงจนกระทั่งกลับมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง กับทีม “โครินเธียนส์”

ทีมโครินเธียนส์ สโมสรชื่อดังจากประเทศอังกฤษ เป็นผู้ดึงตัวโรนัลโด้ เขากลับมาเล่นให้ลีกบ้านเกิดอีกครั้ง ซึ่งแฟนๆต่างเฉลิมฉลองการมาเล่นให้กับทีมของเขาโดยเชือว่า เจ้าเหยินโรนัลโด้จะต้องพาทีมโครินเธียนส์คว้าแชมป์ลีกได้อย่างแน่นอน

จะว่ายังไงก็ช่างของอย่างนี้ได้อย่างก็เสียอย่าง ความคมในการทำประตูของเหยินทองคำ และยังอยู่ครบถ้วน แต่ปัญหาเดียวและปัญหาเดิมของเขาก็ยังอยู่ และนั่นคือ สภาพร่างกายที่ไม่ฟิต ไม่มีใครในทีมเชื่อเลยว่า การทดสอบความฟิตทางร่างกายของเขากับทีมครั้งแรก ของ“โรนัลโด้ อยู่อันดับโหล่!!!” ฤดูกาล 2008/09 โรนัลโด้ได้ลงแค่ เพียง12 นัดเท่านั้น แต่ก็ทำได้ถึง 9 ประตู ณ บัดนี้ ใกล้ถึงบั้นปลายการค้าแข้งของเขาแล้ว ต้องดูว่าเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป

พนันบอลออนไลน์

ขณะที่เกียรติยศส่วนตัวนั้น ไอ้เหยินโรนัลโด้ ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของโลก ที่จัดโดยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า มาครองได้ในปี 1996.1997.2002 รวมเป็น 3ครั้ง

เกียรติยศและรางวัลทีได้รับของ โรนัลโด้

–ได้คว้ารางวัลดาวเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 1997
–ได้รับรางวัลดาวซัลโวฟุตบอลโลก ปี 2002
–ได้รับรางวัลรองนักเตะยอดเยี่ยมฟุตบอลโลก 2002
–ได้แชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1994 และ 2002
–ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมฟุตบอลโลก 1998
–ได้แชมป์โคปา อเมริกา 1997 และ 1999
–ได้แชมป์ยูฟ่า คัพ 1998
–ได้แชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1997
–ได้แชมป์ดัตช์ คัพ ปี 1996
–ได้แชมป์ ลา ลีกา สเปน ปี 2003
–ได้แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ ปี 2002
–ได้แชมป์ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ ปี 2002
–ได้แชมป์สแปนิช ซูเปอร์ คัพ ปี 2003







พนันบอลออนไลน์